8/25/2018
เคล็ดลับวิธีทำให้รูขุมขนดูเล็กลงลองส่องกระจกดูใกล้ ๆ แล้วคุณจะเห็น... ก็รูขุมขนของคุณนั่่นแหละ ในร่างกายเรามีเป็นล้าน ๆ แต่จะถูกสังเกตเห็นง่ายกว่าในบริเวณที่มันกว่า เช่น หน้าผาก จมูกและคาง ตามหลักการแล้ว...รูขุมขนไม่น่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่เสมอไปใช่มั้ย? รูขุมขนคืออะไรและอะไรคือสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนขยาย? รูขุมขน -รูเล็ก ๆ ที่อยู่บนผิวเราคือทางเปิดไปสู่ต่อมขน แต่ละรูจะมีต่อมไขมันที่ช่วยผลิตน้ำมัน ขนาดรูขุมขนของคุณมีผลมาจากยีนหรือพันธุกรรม ถ้าพ่อแม่ของคุณมีรูขุมขนกว้าง คุณก็มีสิทธิ์จะเป็นแบบนั้น รูขุมขนที่กว้างกว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่มีผิวคล้ำถึงดำ คนที่ผิวมันหรือมีแนวโน้มจะเป็นสิวอาจจะมีรูขุมขนที่กว้างเพราะไขมันและเซลล์ผิวที่ตายอุดตันเป็นตัวขยายมันให้กว้างขึ้น การสูญเสียและการเสื่อมของคอลลาเจน ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของผิวก็อาจเป็นสาเหตุของรูขุมขนที่ใหญ่ขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป กระบวนการแห่งวัยผนวกกับ การทำร้ายจากแสงแดดสามารถทำให้ คอลลาเจนธรรมชาติอ่อนแอลง เมื่อคอลลาเจนเสื่อมลง รูขุมขนของคุณก็จะเริ่มดูใหญ่ขึ้น วิธีทำให้รูขุมขนดูเล็กลง น่าเสียดายที่เราเปลี่ยนขนาดรูขุมขนไม่ได้ แต่คุณทำให้มันดูเล็กลงได้ -ทำความสะอาด ใช้แปรงทำความสะอาดช่วยขจัดคราบเมคอัพสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินออกจากผิวหนัง -ขัดผิว การขัดผิวเป็นประจำด้วยสครับหรือเคล็นเซอร์ที่มี Salicylic acid จะช่วยกวาดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เป็นการป้องกันไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน -ปกป้อง ในตอนเช้าใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่มี SPF อย่างน้อย 15 เพื่อช่วยป้องกันผิวจากการทำลาย ของแสงแดด และน่าจะมีความเข้มข้นของ ไนอาซินาไมด์ที่รู้กันว่าช่วยลดขนาดของรูชุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ -ให้ความชุ่มชื่น ในตอนกลางคืนทามอยซ์เจอไรเซอร์ ที่บางเบาหลังทำความสะอาดผิวแล้ว เพื่อคงความความชุ่มชื่นและสุขภาพผิวที่ดี ถ้าคุณมีแนวโน้มเป็นคนผิวมันให้ใช้สูตรปราศจากน้ำมันที่จะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน
8/18/2018
บอกลารูขุมขนกว้าง ง่ายนิดเดียว!!เชื่อว่าสาวๆ หลายคนเมื่อมีอายุมากขึ้นก็มักจะประสบกับปัญหาผิวหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น มีริ้วรอยรวมไปถึงปัญหารูขุมขนกว้าง แล้วทราบกันหรือไม่ว่าปัญหารูขุมขนกว้างนั้นมีที่มาที่ไปจากอะไร และเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง วันนี้ Baby ass มีข้อมูลดีๆ มาฝากกันเพียบเลยนะ สาเหตุของรูขุมขนกว้าง ปัญหารูขุมขนกว้างนั้นมีที่มาจากหลายสาเหตุค่ะ ซึ่งสาเหตุหลักๆ คือ
เมื่อทราบต้นเหตุของรูขุมขนกว้างกันแล้ว คราวนี้มาดูกันนะว่าเราจะจัดการกับปัญหารูขุมขนกว้างอย่างไร โดยก่อนอื่นเราต้องเริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวหน้าก่อนนะ สาวๆ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ถนอมผิว ไม่ล้างหน้าบ่อยจนเกินไปรวมถึงหลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้งเสีย และส่วนที่เป็นไฮไลท์ทำคัญก็คือการบำรุงผิวนั่นเอง วันนี้จะขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวช่วยในการบอกลารูขุมขนกว้างกัน ขอบอกว่าทั้งเด็ดและโดนใจสุดๆ แถมราคาดี๊…ดี เรียกได้ว่าเป็นการช้อปอย่างชาญฉลาดแบบสาว 2018 ! Nature Bright Serum ของ Preda by nang rai Baby ass จะพาไปเจาะลึกถึงส่วนประกอบของ Nature Bright Serum เขาแบบให้รู้กันไปเลยว่า ส่วนผสมตัวไหนช่วยอะไรกับผิวหน้าคุณ ก่อนตัดสินใจจะซื้อหามาใช่ ขอคัดแบบเด็ดที่เห็นแล้วจะ WOW กันเลย!!!!
เป็นยังไงกันบ้างกับเรื่องราวของรูขุมขนกว้างและ ส่วนประกอบบำรุงผิวกระชับรูขุมขนที่ Nature Bright Serum ของ Preda by nang rai แนะนำกันไป สาวๆคนไหนที่กำลังมีภาวะรูขุมขนกว้างอยู่ ลองนำเคล็ดลับดีๆ รวมถึงไปหาผลิตภัณฑ์ Nature Bright Serum ของ Preda by nang rai ที่เราแนะนำไปลองใช้กันนะ รับรองจะลืมเคาร์เตอร์แบรนกันไปเลย ด้วยราคา 350 บาท แต่คุณภาพเกินราคา ยัง....ยัง....ไม่รีบไปหามาใช่กันอีก...555
8/18/2018
รู้ไหม !! อร่อยที่ปาก ลำบากที่หน้าคุณๆเคยได้ยินวลีที่ว่า “You are What you eat” ไหม แปลตรงตัวก็คือ “กินอย่างไร ได้อย่างนั้น” ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ ไปดูกัน Nigima Talib แพทย์ด้านธรรมชาติบำบัดและผู้เชี่ยวชาญการดูแลผิว เชื่อว่าอะไรก็ตามที่เรารับประทานเข้าไปย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อใบหน้า ซึ่งหลายอย่างอาจเกิดจากการที่คุณแพ้อาหารโดยไม่รู้ตัว หรือรับประทานมากเกินกว่าประสิทธิภาพร่างกายจะสามารถย่อยได้ ทำให้เกิดเคมีร่างกายเปลี่ยนแปลงและเร่งกระบวนการชราภาพ โดยอาจจะออกมาในรูปแบบ จุด ริ้วรอย ผื่น สิว รอยแดง นั่นเอง ซึ่งอาการต่อไปนี้ที่แสดงบนใบหน้าทั้ง 4 แบบ ที่ Talib สามารถบอกได้ว่า ปัญหาผิวหน้าลักษณะนี้ เกิดจากการรับประทานอาหารชนิดใดมากเกินไป อ้าว!!! งานจะเข้าล่ะ
วิธีแก้ไข หยุดรับประทานของหวานที่ประกอบไปด้วยน้ำตาลแปรรูป เช่น ลูกอม เค้ก และขนมหวานทุกชนิด โดยใช้ความหวานจากธรรมชาติอย่างน้ำผึ้ง หรือผลไม้แทน ก็จะช่วยให้ผิวของคุณค่อยๆ ดีขึ้นอย่างแน่นอน
วิธีแก้ไข งดแอลกอฮอล์ 3 สัปดาห์ จะทำให้สภาพผิวหน้าดีขึ้นได้ และหลังจากนั้น คุณอาจสามารถกลับมาทานแอลกอฮอล์ได้อีกครั้ง แต่ลดให้เหลือ 20% จากที่เคยดื่มเป็นปกติ
วิธีแก้ไข หากกลูเตนคือปัญหา ก็ตัดมันออกไปซะ หันมาทานไฟเบอร์ทดแทน และดื่มน้ำบ่อยๆจะช่วยปรับสมดุลให้ผิวของคุณดีขึ้นได้ ฉะนั้นใครที่อยากมีผิวสวยและอ่อนเยาว์ไปนานๆ ก็ควรระมัดระวังและเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เหมาะสมกันนะ แล้วก็ลืมทา Nature bright serum ของ Preda by nang rai เป็นประจำกันนะ ใครยังไม่ได้ลองถือว่า พลาด!!! แล้ว!!!
8/17/2018
หน้าแก่ก่อนวัย…แก้ได้ ถ้ารู้วิธีแก้ถึงแม้ว่าความแก่จะเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องประสบพบเจอ แต่สำหรับหน้าแก่ก่อนวัยแล้ว กลับไม่ควรเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งการกำจัดปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจทำให้คุณมีผิวหน้าแก่ก่อนวัยอันควร ก็จะช่วยทำให้คุณมีอายุ…ที่เป็นเพียงแค่ตัวเลข วันนี้ Baby ass จะนำกลเม็ดเด็ดๆ โดยการตัดไฟแต่ต้นลม ขจัดปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย ด้วยการเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกร่างกาย ไปดูกันว่าเป็นอย่างไร การลดหรือปรับเปลี่ยนปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย ก็จะช่วยทำให้คุณห่างไกลจากปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย และสามารถมีผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง โดยเคล็ดลับดังกล่าว มีดังต่อไปนี้
ไม่มีใครที่อยากดูหน้าแก่ก่อนวัย เราสามารถป้องกันและหยุดยั้งปัญหาดังกล่าวได้ด้วย การขจัดปัจจัยที่จากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่อาจทำให้เรามีผิวหน้าที่ดูแก่ก่อนวัย เช่น แสงแดด สารอนุมูลอิสระ และสารเคมีรอบ ๆ ตัว โดยปัจจัยเหล่านี้ เราสามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันได้ เพียงแค่ทาเซรั่มและครีมกันแดด ทานผักและผลไม้ ดื่มน้ำ และเพิ่มการออกกำลังกาย เพียงแค่นี้ใบหน้าของคุณก็จะ…ดูอ่อนกว่าวัย อีกหนึ่งเรื่องที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นกังวลใจอยู่ไม่น้อย ก็คือเรื่องของ “ฝ้า” กระ หรือจุดด่างดำนี่แหละ ตัวดีที่ทำเอาใครหลายคนรู้สึกท้อใจในการดูแลตัวเอง วันนี้ Baby ass เลยอยากมาชวนคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องนี้อยู่ มาลองทำตามเคล็ดลับที่นำมาฝากกัน รับรองว่ามันดี ตามไปดูเคล็ดลับการดูแลใบหน้าให้ใสไร้ “ฝ้า” กันเลยดีกว่า 1. เลี่ยง “แสงแดด” ได้เป็นดี เรื่องของเรื่องก็คือว่า “แสงแดด” ในประเทศไทยก็ชอบทักทายพวกเราแบบรุนแรงเหลือเกิน ซึ่งรังสียูวีในแสงแดดนี่แหละคือหนึ่งในตัวการสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดฝ้าและกระเลยก็ว่าได้ เริ่มต้นการป้องกันการเกิดฝ้าด้วยการหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดดแรง ๆ โดยตรง หรือควรทาครีมกันแดด พกแว่น พกหมวกหรือร่มในกรณีที่จำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดในช่วงกลางวันที่แรงมาก ๆ ก็จะช่วยได้ส่วนหนึ่งเลยนะ 2. ไม่อยากเป็นฝ้าก็อย่า “เครียด” การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำอีกหนึ่งวิธีแบบไม่ต้องเสียสตางค์ก็คือการหาวิธีขจัดความเครียดที่อยู่ในตัวคุณเอง ลองหากิจกรรมที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง นวดหรือนั่งสมาธิ ก็ช่วยคลายอาการเครียดได้เหมือนกัน อยู่ที่ความชอบของแต่ละกัน เมื่อเราไม่มีอารมณ์เครียด ก็จะช่วยลดอัตราการขยายตัวของเจ้าฝ้า กระ ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ไม่เอา...ไม่เครียดนะ 0_o 3. อาหารบำรุงผิวก็ช่วยได้นะ หนึ่งในวิธีการรักษาการเกิดฝ้าก็คือการเลือกทานอาหารบำรุงผิว โดยส่วนมากเพื่อช่วยรักษาอาการในเวลาที่รวดเร็วขึ้น หลาย ๆ คนก็มักจะนิยมรับประทานจำพวกอาหารเสริมที่มีสารสกัดในการดูแลผิวเรื่องฝ้ากระ อย่างสารสกัดจากเมล็ดองุ่นแห้ง รวมไปถึงวิตามินซีที่อยู่ในสารสกัดเหล่านี้นั้น ก็มีส่วนช่วยลดอาการฝ้า กระได้ดีมาก ๆ ทำให้ผิวกลับมาขาวใสได้ดีจริง ๆ แต่แอบบอกว่าถ้าจะเลือกทานก็ต้องทานอย่างต่อเนื่องในระยะที่คุณต้องการบำรุงผิว และทานอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องจะเห็นผลและช่วยลดปัญหาฝ้าของคุณได้ดียิ่งขึ้น 4. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันความเสื่อมสภาพของผิวหน้าก็ต้องหมั่นดูแลอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเฉพาะการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะช่วยกระตุ้นความกระจ่างใส การลดความแห้งเหี่ยวและลดการเกิดรอยกระฝ้าได้ด้วย เคล็ดลับง่าย ๆ ในการทำความสะอาดผิวหน้า
5. ผักผลไม้นี่แหละที่จะช่วยเยียวยาคุณ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สดใหม่อย่างผลไม้หลากหลายชนิดจะมีส่วนช่วยในการขับถ่ายสารพิษต่าง ๆ ในร่างกายแบบธรรมชาติ ทำให้ผิวพรรณคุณสดใส เปล่งปลั่งสุขภาพดี นอกจากการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว สิ่งสำคัญคือคุณก็ต้องไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างแอลกอฮอล์ ที่บอกเลยว่าหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้ผิวดูไม่กระจ่างใส ทรุดโทรมลงได้ง่าย ถ้าไม่อยากให้ความสดใสและผิวพรรณที่คุณรักต้อง “พัง” คุณก็ต้องเลือกสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ 6. หาเวลาออกกำลังกายกันบ้าง สุดท้ายแล้ว ในสังคมที่แข่งขันกันมากในปัจจุบันนี้ ทำให้หลายๆคนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถ ลองหากิจกรรมที่ขยับกล้าเนื้อได้บ้างเวลาอยู่บนรถ และถึงวันหยุดก็หเวลาไปวิ่ง ปั้นจักรยาน ตามสวนสาธารณะกันบ้างนะ ร่างกายแข็งแรงผิวหน้าก็จะใส เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับเคล็ดลับหน้าใสห่างไกล “ฝ้า” ที่ Baby ass นำมาแนะนำคุณ อย่าลืมนะว่าสำคัญที่สุดในการดูแลตัวเองคือคุณต้อง “รัก” ตัวเองอย่างถูกวิธีและคิดบวกกับชีวิตเพื่อให้เราสดใสทั้งภายในและภายนอกอย่างยั่งยืน ใครที่คิดว่าผิวหน้าของเราดีอยู่แล้วอย่าเพิ่งได้ใจคิดไปเองฝ่ายเดียว วันนี้เรามี 4 สัญญาณเตือนภัยให้กับผิวหน้าของเราว่าผิวหน้าของเราดีจริงรึเปล่า ? ไปดูกัน สาว ๆ คนไหนอยากเช็กผิวหน้าว่าผิวหน้าเราใกล้พังหรือยัง จะได้รู้ไว้แล้วรีบแก้ไขให้ทันท่วงที ก่อนที่จะแย่กันไปมากกว่าเดิมอีก ใครอยากรู้ก็ต้องมาดูว่าตรงกับข้อไหนบ้าง ตามมาเลย มาเช็กกันว่าผิวหน้าใกล้พังรึยัง? 1.แต่งหน้าไม่ค่อยติด
2.หน้าดูหมอง ๆ โทรม ๆ ไม่มีชีวิตชีวา
ข้อเด่น:ลดการเกิดสิวใหม่และช่วยให้สิวเก่าแห้งลง และยังเพิ่มความกระจ่างใส สภาพผิว: เหมาะสำหรับทุกๆผิว - ผิวแพ้ง่าย ที่ต้องการให้ผิวหน้ากระจ่างใส และต้องการบำรุงอย่างล้ำลึก 3.ลูบหน้าแล้วหน้าไม่เรียบ หยาบกร้าน
ข้อเด่น: ขจัดสิวเก่า ฟื้นฟูเซลล์ผิวเก่า เพื่อความเรียบเนียนไม่หยาบกร้าน สภาพผิว:เหมาะสำหรับทุกๆผิว - ผิวแพ้ง่าย 4.เป็นสิวบ่อย ๆ ไม่หายสักที
8/7/2018
ไขความลับ "ไฮยาลูรอน"ทำความรู้จักกับไฮยาลูรอน
ไฮยาลูรอนตามธรรมชาติของมนุษย์มีอยู่ในเนื่อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) ทั่วร่างกายเรา ทั้งผิวหนัง ในตา เนื้อเยื่อตามข้อข้อต่อ รวมถึงเซลล์ประสาท มีหน้าที่หลัก คือ - ควบคุมการเจริญเติบโตและการเกิดของเซลล์ในร่างกาย - ช่วยพยุงเซลล์ผิวร่วมกับคอลลาเจน และอิลาสติน ให้ผิวยังตึงกระชับ ไม่หย่อนคล้อย เมื่ออายุมากขึ้น ไฮยาลูรอนในผิวผลิตได้น้อยลง ผิวจึงสูญเสียความชุ่มชื้น ส่งผลให้สูญเสียความกระฉับและความยืดหยุ่นของผิว เป็นต้นเหตุของริ้วรอย และผิวแห้งเหี่ยว แต่เราช่วยเติมไฮยาลูรอนให้ผิวได้ด้วย Preda Serum ที่สามารถซึมเข้าในผิวชั้นในได้ดีเยี่ยม จึงสามารถให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ตลอดวัน Preda Serum (ปรีดา เซรั่ม) คืออะไร
ไฮยาลูรอน ใน ปรีดา เซรั่ม ดียังงัย?
นอนน้อย พักผ่อนไม่พอ ไม่ใช่แค่ร่างกายไม่ไหวนะสาวๆ ขา ผิวของเราก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่ถ้าพักผ่อนไม่พอจริงๆ จะดูแลตัวเองยังไงได้บ้าง มาดูกัน คิดๆ ดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกันนะสาวๆ ขา ยิ่งเราเริ่มโตมากขึ้น เวลาในการพักผ่อนนอนหลับของเราก็น้อยลงสวนทางกับอายุซะจริงๆ แล้วผลที่ได้ตามมาติดๆ ก็คือ... ผิวเริ่มโทรม หน้าเริ่มแก่ ไม่สดชื่น แต่งหน้าก็ไม่ติดทนอีก แต่ไม่ต้องเครียดหรือกังวลใจไป นอนน้อย พักผ่อนไม่พอไม่เป็นไร ขอการ์ดเสริม เติมไอเท็มเข้าช่วยไปเลยนะ 1 มาส์กหน้าก่อนนอน สูตร Basic แต่ได้ผลจริงจังไม่ธรรมดาจริงๆ นะ เคล็ดง่ายๆ เพียงแค่เราเอาครีมมาส์กหน้าไปแช่ตู้เย็นแล้วมาส์กก่อนนอน ดึกแค่ไหนตื่นเช้ามาสดชื่น แต่งหน้าติดทนทั้งวันแล้ว 2 พกสเปรย์น้ำแร่ติดกระเป๋า ไอเท็มเด็ดที่มีพกติดตัวไว้ถือว่าดีมากจริงๆ เมื่อไรที่เรารู้สึกร้อนผิว หน้าเหนื่อยๆ หยิบขึ้นฉีดระหว่างวันก็ทำให้หน้าของเราสดชื่นได้แล้วล่ะ 3 บำรุงด้วยเซรั่ม Preda เป็นอีกไอเท็มเด็ด เพราะในส่วนประกอบในเซรั่ม Preda มี ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยและ Jewelry Extract, แอเมทิสต์ (Amethyst) ที่ทำให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น 4 เครื่องสำอางช่วยได้ เมื่อมันเลือกไม่ได้ ต้องดูดี สวยในเวลารวดเร็วการแต่งหน้า แต่งตาช่วยได้ เลือกรองพื้นในเข้ากับสีผิวและเลือกที่มีความฉ่ำน้ำ หาคอนซีลเลอร์มาปิดแพนด้า รอยคล้ำใต้ดวงตา เขียนคิ้วนิดหน่อย ทาลิปสติกสีสันสดใส ก็ช่วยให้หน้าตาดูตื่นขึ้นแล้วล่ะ นอนน้อย พักผ่อนไม่พอ ไม่มีเวลาแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูแลตัวเองค่ะ นำตัวช่วยเหล่านี้ไปปรับๆ นำมาใช้ รับรองว่า นอนน้อยแค่ไหน ผิวก็ไม่โทรม เอาใจสาวๆ ที่ใบหน้ามีส่วนเกินเยอะ มีแก้ม หย่อนคล้อย ไม่กระชับเรียวสวย ที่เกิดจากไขมัน เป็นปัญหาที่ผู้หญิงหลายๆคนพบเจอโดยเฉพาะ ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเยอะ กินข้าวอร่อย Baby ass me ไม่อยากให้ทุกคนต้องพึ่งแต่โบท็อก ร้อยไหม เพราะมันสิ้นเปลืองและอยู่ได้ไม่นาน แถมยังเจ็บตัวอีกด้วย Baby ass me เลยมีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสาวๆ ที่กลัวเข็ม หรือชอบในวิธีธรรมชาติบำบัด ที่จะช่วยยกกระชับหน้าของเรา ลดไขมันบนหน้า ให้กลับมาเรียวสวยเหมือนเดิมด้วยสองมือของเราเอง ไม่ต้องเสียเงินแค่หมั่นค่อยบริหารใบหน้าอยู่ตลอดเวลาก็พอ วิธีการกำจัดส่วนเกินและไขมันบนใบหน้า 1. การบริหารบริเวณโหนกแก้ม ประโยชน์ของการบริหารบริเวณโหนกแก้มจะเพิ่มการไหลเวียนโลหิตของแก้มและจะเพิ่มความร้อนจากนิ้วมือไปที่ใบหน้าของคุณทำให้ไขมันบริเวณนี้สลาย - ครั้งแรกให้วางนิ้วชี้ของคุณบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง กดนิ้วมือลงไปที่ผิวหนังวางขนานกับหน้าในแนวตรง เริ่มหมุนปลายนิ้วของคุณในทิศทางเข้าออกข้างจมูก หมุนต่อไปเรื่อยๆ ให้ครบเป็นเวลา 60 วินาที และทำแบบนี้เป็นประจำสองครั้งต่อวัน 2. การบริหารแบบAir-Puffing วิธีลดไขมันแก้มด้วยการบริหารกล้ามเนื้อปากและแก้มโดยการอมลมไว้ในปากที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณแก้มของคุณกระชับและได้สัดส่วน - ให้คุณสูดลมเข้าไปในปากของคุณและอมมันไว้ วิธีนี้จะทำให้ริมฝีปากของคุณพองออก ทำแบบนั้นค้างไว้เป็นเวลา 10 วินาที ต่อจากนั้นเลื่อนลมอากาศไปยังแก้มด้านซ้ายและค้างตำแหน่งเดิมไว้ 10 วินาที ต่อมาทำเหมือนกันเลื่อนไปที่แก้มด้านขวาค้างไว้อีก 10 วินาที ทำซ้ำขั้นตอนนี้ 20 ครั้ง และทำแบบนี้เป็นประจำสองครั้งต่อวัน 3. การบริหารแบบ Fish-Face หรือดูดข้างแกม เป็นวิธีการกำจัดไขมันแก้มโดยการบริหารที่น่าสนใจและง่ายสำหรับการทำให้แก้มกระชับ – ให้คุณดูดแก้มของคุณภายในปากไว้ให้สุดและให้ริมฝีปากออกด้านนอก เมื่อทำแบบนี้แล้วใบหน้าของคุณจะปรากฏเป็นรูปปลา มันอาจจะน่าเกลียดนิดๆ แต่ได้ผลดี ทำแบบนี้ในตำแหน่งเดิมค้างไว้เป็นเวลา 30 วินาที จากนั้นหายใจลึกๆ ทำซ้ำอีกครั้งเป็นเวลา 30 วินาที เหมือนเดิม ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง ทำแบบนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วใบหน้าของคุณจะเรียวสวยควรทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน 4. การบริหารแบบ Fish-Blow คือการบริหารกล้ามบริเวณแก้มอีกเช่นกัน ที่ช่วยในการกระชับส่วนที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเรียวอีกครั้ง - วิธีการนี้จะให้คุณสูดลมเข้าไปในปอดโดยใช้ปากดูดลมเข้าไปให้แก้มตอบ แล้วจึงปล่อยลมออกมาให้แก้มทั้งสองผอง เหมือนกับปลาที่กำลังหายใจใต้น้ำ รักษาตำแหน่งค้างไว้ 30 วินาที ผ่อนคลายสักครู่แล้วเป่าแก้มของคุณอีกครั้งเป็นเวลา 30 วินาที บริหารซ้ำๆ 10 ครั้งต่อครั้ง ทำอย่างน้อยสองครั้งต่อวัน หรือเท่าที่คุณสามารถทำมันได้ 5. การบริหารแบบ Push and Smile คือการตึงผิวของเราแล้วยิ้มช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อแก้มและกรามประชับ และยังช่วยในเรื่องของริ้วรอยอีกด้วย - ให้ใช้สองฝ่ามือของคุณรูดผิวหน้าไปด้านหลังให้ตึง จากนั้นให้ยืดกล้ามเนื้อริมฝีปากโดยการยิ้มควรจะค่อยๆ ยิ้มอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอย ยิ้มให้กว้างรักษาตำแหน่งนี้เป็นเวลา 5 วินาที จึงปล่อยรอยยิ้ม ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง และยกมือขึ้นแล้วทำซ้ำต่ออีก 5 ครั้งต่อครั้ง ทำอย่างน้อยสองครั้งต่อวัน 6. การบริหารแบบ Tongue Tease วิธีนี้จะเป็นการกำจัดไขมันบนหน้าได้อย่างรวดเร็วโดยการ แลบลิ้นออกมา - เป็นวิธีง่ายๆ เพียงแค่ให้คุณแลบลิ้นออกมาในขณที่ยิ้ม หากทำถูกต้องจะรู้สึกตึงๆ แน่นๆ บริเวณโหนกแก้ม รักษาตำแหน่งค้างไว้ 10 วินาทีแล้วพัก ทำซ้ำ 20 ครั้งในทำอย่างน้อยวันละสองครั้ง เป็นการบริหารใบหน้าง่ายๆ ที่จะช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อ ไขมันส่วนเกิน ที่มันหย่อนคล้อยออกมา และอย่าลืมทา preda serum ทุกเช้าและก่อนนอน เพราะ preda serum มีไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ที่ในการรักษาริ้วรอยแห่งวัย ไฮยาลูรอน พบได้ในร่างกายของมนุษย์ตามวุ้นในโพรงลูกตา น้ำหล่อลื่น ข้อต่อต่าง ๆ และเนื่อเยื่อส่วนต่าง และโดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์ เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่น และยังมีแอเมทิสต์(Amethyst) ที่มีคุณสมบัติที่ทําให้เกิดสมดุลสามารถทําให้เกิดประจุไฟฟ้าได้ ถ่ายทอดพลังจากธรรมชาติ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ส่งผลให้เกิดอัตรากระบวนการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น เพียงเท่านี้! เวลาถ่ายรูปและดูไม่สวยกลับมาสวยอีกครั้งโดยไม่ต้องใช้แอพ หรือไม่ต้องพึ่งโบท็อกให้เจ็บตัว เพียงแค่ทำเป็นประจำตามที่บอกแค่นี้หน้าของสาวๆ ก็จะกลับมาเรียวสวยอีกครั้ง
credit : activehomeremedies , pinterest ขอขอบคุณภาพ :istock แต่งหน้าอย่างไร ให้สวยปิ๊งเสริมโหงวเฮงให้ดูสง่า และติดทนตลอดวัน
ขอเอาใจสาวๆ สำหรับลูกเพจ Baby assme ที่รักการแต่งหน้ากันสักหน่อย เคล็ดลับแต่งหน้าสวยปิ๊งเสริมดวง 12 ราศี ตามศาสตร์โหงวเฮ้ง เพราะนอกจากคุณสาวๆ จะสวยงามจากการเลือกเฉดสีที่ถูกโฉลกกับตัวเองแล้วยังเสริมดวงให้โดดเด่นสง่าอีกด้วย ราศีไหน ควรเลือกใช้เฉดสีใดไปดุกันเลย ศาสตร์โหงวเฮ้ง เป็นอีกทางเลือก ทางเลือกเพื่อเสริมความมั่นใจในการแต่ง หน้าให้เหมาะสมและถูกต้องตามราศี ซึ่ง โหงวเฮ้ง บนใบหน้าประกอบด้วย 2 หลัก ใหญ่ คือ 1. อวัยวะทั้ง 5 บนใบหน้า ประกอบด้วย คิ้ว ตา จมูก ปาก หู 2. เนินทั้ง 5 บนใบหน้าคือ เนินแก้มซ้าย แก้มขวา เนินคาง เนิน จมูก เนินหน้าผาก ราศีมังกร ธาตุดิน ควรใช้สีสันของธาตุไฟเสริมราศี ดวงตาใช้สีส้มน้ำตาล น้ำตาลทองแลดูมีพลัง โหนกแก้มปัดด้วยสีโทน ส้ม อิฐ สีสีโอรสเพิ่มเสน่ห์ด้วยริมฝีปากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสีส้มสีโอรสสีส้มนู้ด ด้านคิ้ว หมายถึง อำนาจบารมีวาดให้หัวคิ้วเรียวตามธรรมชาติถึงหางคิ้ว ใช้สีน้ำตาล เข้มปัดคิ้วควรเน้นให้ตาโตด้วยการวาดอายไลน์เนอร์สีดำโดยวาดให้เส้นใหญ่กว่าปกติเพื่อเสริมพลังอำนาจ ราศีกุมภ์ ธาตุลม ควรเน้นที่ริมฝีปากด้วยสีสว่างสดใสแดงอมชมพู หรือชมพูเหลือบม่วง และชมพูประกายสดใส เสริมความมั่นใจเพื่อให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการปัดไฮไลท์บริเวณสันจมูกหน้าผาก โหนกแก้มด้านบนและคาง ส่วนตาโทนสีฟ้าหรือประกายเหลือบทองปัดแก้มด้วยสีอ่อนเช่น ชมพูอ่อนม่วงอ่อน เน้นไฮไลท์บริเวณผิวใต้ดวงตาเพื่อส่งเสริมความรัก ราศีมีน ธาตุน้ำ ดวงตาควรใช้สีชมพูอมม่วงอ่อน เพิ่มความอ่อนหวาน คิ้วกันให้ได้รูปรับกับใบหน้า เน้นริมฝีปากสีชมพูประกายสดใสส่งเสริมให้ผิวสุขภาพดี ราศีเมษ ธาตุไฟ ควรเน้นการปัดมาสคาร่า ทาเปลือกตาด้วยสีเงินสีบรอนซ์เทา โหนกแก้มเอิบอิ่มด้วยสี ธาตุไฟสว่างสีม่วง และสีส้มแดง ริมฝีปาก มันวาวดูเป็นประกายเย้ายวนด้วยสีชมพูม่วง หรือส้มสีโอรสและชมพูประกายสดใส ราศีพฤษภ ธาตุดิน แต่งหน้าด้วยเฉดสีเอิร์ธโทนเป็นหลัก ปัดแก้มด้วยสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลประกายทอง น้ำตาลอมม่วง เน้นขอบตาและเปลือกตาด้วย สีโกโก้น้ำตาลเข้ม ทรายทอง ใช้ลิปสติกโทนน้ำตาลแดง น้ำตาลอมส้มสีแดงประกายสดใส สีส้มสีโอรส ทำให้รอยยิ้มอบอุ่นน่าใกล้ชิด ราศีเมถุน ธาตุลม ควรใช้โทนสีธรรมชาติที่ดูสดชื่นแจ่มใส เสริมความเป็นตัวเอง ดวงตาเน้นสีเขียวเข้ม ฟ้าอม- เทา ประกายขอบตาเหลือง หรือทอง แก้มสี ส้มอิฐ หรือชมพูสดใส ริมฝีปากเพิ่มความงาม ด้วยสีส้มแดงและสีชมพูกลีบกุหลาบ ราศีกรกฏ ธาตุน้ำ การแต่งแต้มใบหน้า เน้นรอบยิ้มและดวงตาเปล่ง ประกายสดใสด้วยสีเขียวน้ำทะเล สีม่วงอ่อน สีเขียวพฤกษ์ไพร โหนกแก้ม สีส้มอิฐ ริมฝีปาก สีชมพูเข้ม และชมพูสดใสดูเป็นประกาย ราศีสิงห์ ธาตุไฟ ให้สีเจิดจ้าเสริมพลัง ควรทาตาด้วยสีบรอนซ์เงิน น้ำตาลทอง สีฟ้าอมม่วงและเปลือกตาประกาย เหลืองทอง ปัดแก้ม ด้วยสีอิฐแระกายเงิน ริมฝี ปากควรเสริมด้วยสีชมพูแดง ชมพูสดใส สีแดง ฉ่ำเนื้อแตงโมและสีชมพูเหลือบม่วง ราศีกันย์ ธาตุดิน สีสันบนใบหน้าที่จะเติมพลังชีวิตนั้นคือสีชมพู- อ่อน สีอิฐ สีส้ม พวง แก้มน้ำตาลอ่อนหรือ น้ำตาลประกายทอง เปลือกตาใช้สีชมพู เหลือบม่วงน้ำตาล ส่วนริมฝีปากแต่งด้วย สีโอรส ราศีตุลย์ ธาตุลม การแต่งแต้มใบหน้าเน้นความสมดุลของ ธรรมชาติ ดวงตาสีเขียวเข้มของพรรณไม้ สีม่วงประกายขาว สีเขียวอ่อน เพิ่มเสน่ห์ ดึงดูดใจด้วยแก้มโทนสีส้ม สีอิฐ สีโอรสและชมพู รับกับริมฝีปากส้มแดง สีโอรสประกาย ราศีพิจิก ธาตุน้ำ ควรแต่งแต้มเปลือกตาด้วยสีม่วงเข้มฟ้าคราม และเขียวน้ำทะเล เพิ่มพลังของแววตา ด้วย ประกายทองและฟ้า แก้มชมพูดูมีเสน่ห์น่า ค้นหา ริมฝีปากชมพูเข้ม ราศีธนู ธาตุไฟ ควรมีส้ม น้ำตาลทองหรือออกส้มแดงและสีอิฐ ที่แก้ม แต่งเปลือกตาด้วยสีอบอุ่น เช่น น้ำตาล น้ำตาลทอง เขียว ริมฝีปากธรรมชาติด้วยสีส้ม สดหรือส้มสีโอรสชมพูกลีบกุหลาบสดใส และน้ำตาลเหลือบม่วง ควรเสริมความมันวาว ให้ริมฝีปากแลดูเย้ายวนใจ นอกจากจะได้รู้กันแล้วแต่งหน้าสีไหนลักษณะไหนให้ถูกต้องกับราศีแล้ว และอย่าลืมบำรุงผิวหน้าด้วย Preda serum ทุกๆเช้าและก่อนนอน กันเป็นประจำนะ เพราะ Preda serum จะช่วยให้หน้าที่แต่งถูกต้องตามราศีนั้น ติดทนนานได้ตลอดทั้งวัน โดยอาจจะไม่ต้องเติมกันเลยทีเดียว!!!! ขอขอบคุณ ข้อมูล : panclinic “อเมทิสต์” หินแห่งการบำบัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย กระแสแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับเรื่องของหินนำโชคเสริมดวง เรื่องราวของหินนำโชคเสริมดวงสุดฮิตอีกชนิดมานำเสนอกัน ซึ่งมีความเชื่อว่าหินนี้เป็นหินแห่งความลึกลับสามารถช่วยปัดเป่าสิ่งชั่งร้ายได้ หินนำโชคที่ว่าก็คือ "อเมทิสต์" (Amethyst) "อเมทิสต์"เป็นหินในตระกูลควอทซ์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีค่ามากที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่มีความโปร่งใส สีม่วงอ่อนจนถึง สีม่วงเข้ม หรือ ม่วงแดง หลายคนเรียก อเมทิสต์ว่า พลอยสีดอกตะแบก หรือ พลอยจำปาศักดิ์ เป็นหินที่ให้ความรู้สึกลึกซึ้ง ลึกลับ เคร่งขรึม มีอำนาจและสง่างาม จึงเป็นสีโปรดของผู้คนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก คนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า อเมทิสต์ เป็นหินที่ช่วยบำบัดในคนที่มีอารมณ์สับสนวุ่นวายและเกิดอาการฝันร้าย ใครก็ตามที่หวาดกลัวจากการนอนคนเดียว หรือมีเหตุให้ต้องพบกับฝันร้ายบ่อย ๆ จึงมีการแนะนำให้กำหินชนิดนี้หรือวางไว้ใต้หมอนจะช่วยให้อาการหลับดีขึ้นมากกว่าเดิม นอกจากนี้แล้วชาวอียิปต์โบราณยังสวมใส่อเมทิสต์ เพื่อช่วยให้กระทำการรบได้สำเร็จ และช่วยป้องกันให้รอดปลอดภัย จากอันตรายต่างๆ ได้ พลังอำนาจของอเมทิสต์ สามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะ และปวดฟันได้ โดยการนำอเมทิสต์ ไปแช่ในน้ำร้อน 2 - 3 นาที แล้วจึงนำมาสัมผัสตรงบริเวณที่ปวด ก็จะช่วยทุเลา ความปวดลงได้ อเมทิสต์เป็นพลอยทางศาสนาอีกด้วย เชื่อว่าจะช่วยดลบันดาล ให้เกิดความเที่ยงธรรมแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ เพื่ออุดมคติอันสูงส่ง จะเห็นได้ว่าแหวนประดับ ของพระในศาสนาคริสต์ จะใช้อเมทิสต์ แม้ผ่านมาถึงในปัจจุบันก็ยังคงสวมใส่กันอยู่ และที่สำคัญกว่านั้นคือ อเมทิสต์ เป็นเครื่องประดับของพระมหากษัตริย์ เช่น ฟาโรห์ในอียิปต์ และโมเสสใช้ประดับที่หน้าอก อีกทั้งยังเป็นพลอยที่นักบุญวาเลนไทน์สวมใส่ โดยนำมาทำแหวนรูปกามเทพ นอกจากนี้แล้ว อเมทิสต์ ยังถือว่าเป็นพลอยประจำเดือนเกิดของผู้ที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย และยังมีคุณสมบัติช่วยเรื่องผิวหน้า แอเมทิสต์ (Amethyst) มีคุณสมบัติที่ทําให้เกิดสมดุลสามารถทําให้เกิดประจุไฟฟ้าได้ ถ่ายทอดพลังจากธรรมชาติ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ส่งผลให้เกิดอัตรากระบวนการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น, การส่งผ่านสารต่างๆภายในชั้นผิวดีขึ้น ผิวพรรณเปล่งปลั่งช่วยให้ผิวผ่อนคลายลดการตึงเครียดของผิว ซึ่งเป็นส่วนประกอบตัวหนึ่งใน preda serum เปิดใจลองหามาใช้ดูแล้วคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างของชีวิต สั่งที่นี่ www.facebook.com/babyassme/ ดูโหงวเฮ้ง โหงวเฮ้ง วาสนาดี ใบหน้าที่สวยงาม สมส่วน ตามความนิยม นอกจากจะเผยให้เห็นถึงความงดงามภายนอกที่ดึงดูดสายตาแล้ว ยังซ่อนเร้นคำทำนายความสุข สำเร็จของชีวิต หนึ่งในศาสตร์ที่หลายคนสนใจคือ โหงวเฮ้ง การมีโหงวเฮ้งดีแต่กำเนิด จะทำให้ชีวิตสุขสบาย มาดู โหงวเฮ้ง วาสนาดี ผู้หญิงแบบนี้สามีรวย โหงวเฮ้ง คิ้ว โหงวเฮ้ง จมูก แต่ละแบบ ล้วนมีความสำคัญ มาดูกันดีกว่าว่าโหงวเฮ้งผู้หญิงวาสนาดี ต้องเป็นแบบไหน โหงวเฮ้งผู้หญิงวาสนาดี โหงวเฮ้งใบหน้า ชีวิตสบาย ร่ำรวย อ.สุวิมล พันธุ์วิชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิต ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์โหงวเฮ้ง อธิบายถึงการ ดูโหงวเฮ้ง บนใบหน้าว่า โหงวเฮ้ง คือ การดูส่วนประกอบบนใบหน้า 5 จุด ซึ่งประกอบด้วย หู ตา จมูก ปาก และหน้าผาก แต่หากเราจะทำนาย ทายทักบุคคลในเรื่องของโหงวเฮ้งนั้น ส่วนอื่นๆ ก็สามารถนำมาประกอบได้ ทั้งคิ้ว คาง เสียง ผิวพรรณ รวมถึงนิ้วมือด้วยค่ะ โหงวเฮ้ง หู ขอบหูใหญ่ๆ หนาๆ เหมือนขอบชีสของพิซซ่า ถึงจะดี ซึ่งหูนี้บอกได้ถึงเรื่องชีวิตในวัยเด็กว่าเป็นอย่างไร ติ่งหู จะเป็นการทำนายได้ว่าลูกหลานจะกตัญญูหรือไม่ โหงวเฮ้ง หน้าผาก และขมับ สามีรวย เลี้ยงดูอย่างดี ชีวิตสุขสบาย หรือผู้ที่ขยันทำมาหากิน แล้วชีวิตรุ่งโรจน์รุ่งเรือง กลายเป็นตัวแม่ในแวดวงต่าง ๆ ก็ต้องดูโหงวเฮ้ง หน้าผาก และขมับ ดังจะเห็นได้จาก ดารา โหงวเฮ้งดี หลาย ๆ คน อาทิ อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, นุ่น วรนุช, เบนซ์ พรชิตา และตั๊ก บงกช เป็นต้น โหงวเฮ้งหน้าผาก หน้าผากสูง เป็นคนที่ขวนขวายหาความรู้ วิสัยทัศน์กว้างไกล หากมีหน้าผากกว้าง แสดงว่าการเลี้ยงดูจากครอบครัวคุณดี อุดมสมบูรณ์ โหงวเฮ้งขมับ ส่วนที่บอกได้ว่าคู่ครองจะดูแลเราดีแค่ไหน โดยแบ่งได้ 3 ระดับหน้าผาก แคบ และบุบ หากคิดจะอิ่มท้องอยู่สบาย ก็ต้องพึ่งพาลำแข้งตัวเอง หาเลี้ยงตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ขมับกว้าง แต่บุบเข้าไปบ้าง ถ้ามีหน้าผากแบบนี้ สามีดูแลดีระดับปานกลาง ไม่หรูหราแต่อยู่สบาย กินอิ่มนอนหลับทุกคืน หน้าผากเต็ม กว้าง อิ่มเอิบ หน้ากลม หน้าผากกว้าง ใครว่าไม่สวย เพราะนี่คือโหงวเฮ้งดีสุด ๆ สามีร่ำรวย ดูแลอย่างสุขสบาย เอาอกเอาใจ บางรายได้ดิบได้ดีถึงขั้นเป็น อาซ้อ เลยทีเดียว ถ้าสาว ๆ คนไหนมีหน้าผากแคบ ไม่กว้างดังใจ ก็ขอแนะนำให้เปลี่ยนทรงผมจะช่วยได้ ลองทำผมเปิดหน้าผากเพื่อเปิดฟ้า เปิดความสว่างให้ชีวิต ดูนะ โหงวเฮ้ง ตา เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ลักษณะของดวงตา สามารถบ่งบอกได้เช่นกันว่า ชีวิตคู่ คนรักจะเป็นเช่นไร ตาขาวต้องขาวสดใส ตาดำต้องดำเป็นนิล รูปลักษณ์ในดวงตาก็บ่งบอกถึงชีวิตคู่ได้เช่นกัน หากสาว ๆ มีดวงตาโปนเหมือนปลาทอง อาจส่งผลให้เป็นคนอาภัพความรัก สาวตาโปนเหมือนปลาทอง อย่าเพิ่งท้อใจ โหงวเฮ้ง ดวงตา อาจจะไม่ดี แต่สามารถแก้ไขได้ โดยแต่งงานอายุ 30 ปีขึ้นไป เลือกแต่งงานกับพ่อหม้าย และให้แต่งงานกับคนที่อายุห่างจากเราเกิน 1 รอบ โหงวเฮ้งลักษณะดวงตาที่ดี รูปนัยน์ตาต้องเฉียงขึ้น หางตาเฉียงขึ้นมา เฉียงขึ้นแล้วโปนก็ไม่ได้ เฉียงขึ้นแล้วตาเล็ก ๆ ด้วย ตาลูกคนจีนดีที่สุด รูปนัยน์ตาเรียวเล็ก และแววตาต้องมีประกายสดใส หากเราไปมองตาใคร แล้วต้องหลบตาแสดงว่าดวงตาของคนนั้นมีอำนาจ มีพลังแห่งชีวิต ถือเป็นโหวงเฮ้งที่ดี โหงวเฮ้งตามีเสน่ห์ อยู่ที่แววตา แววตามีเสน่ห์ จะมีผู้ชายเข้ามาพัวพัน ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ สายตาจะหยาดเยิ้ม โหงวเฮ้ง จมูก จมูกของคนจีน เรียกว่าหลักทรัพย์บนใบหน้า จมูกคนเราถ้าให้ดีในช่วงปลายต้องกลม ๆ ใหญ่ ๆ หนา ๆ ถ้าจะเลือกเลือกคู่ชีวิตอยู่ด้วยแล้วสบาย ๆ จงเลือกผู้ชายที่ใบหน้าเต็ม ๆ ใหญ่ ๆ จะถือว่าดี สันจมูกต้องกว้างด้วย ถ้าเรียวคมเกินไป หรือเป็นแอ่ง เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ โหงวเฮ้ง ปาก ปากตามโหงวเฮ้ง หมายถึง การทำมาหากิน ปากให้ดีต้องใหญ่ ๆ ผู้หญิงมีริมฝีปากอิ่ม ถือว่าดี เพราะเชื่อว่า เมื่อปากใหญ่ ก็คือ กินเหยื่อคำใหญ่ๆ หาเงินเก่ง เจรจาเก่ง โน้มน้าวจิตใจคนให้คล้อยตามง่าย ๆ แต่ก็อย่ากว้างเกินไป ต้องดูสัดส่วนบนใบหน้าด้วย ปากรูปกระจับ ลักษณะของปากดาราโหงวเฮ้งดี เพราะโน้มน้าวจิตใจคนเก่ง ปากสี่เหลี่ยม เป็นลักษณะที่ดีมาก จริงๆ ริมฝีปากเรา ต้องคล้ายกับปากวัว ปากม้า ถึงจะดี ปากสี่เหลี่ยมไม่สวย แต่มันดี แต่ก็หายากมากเหมือนกัน จะรักษาคำพูด คำไหน คำนั้น พูดคำตอบคำ แต่จริงใจ ริมฝีปากที่ดี คือ ริมฝีปากล่างกับบนต้องอิ่มพอ ๆ กัน โหงวเฮ้ง คิ้ว คิ้วธรรมชาติก่อนแต่งทรงคิ้ว อย่างแรกคิ้วผูุ้หญิงควรนุ่มนวล อ่อนหวาน ผู้หญิงคนไหนคิ้วหนา อาจจะไม่ชอบงานที่ต้องนั่งเฉยๆ ชอบไปลุยงาน ออกไปทำงานติดต่อประสานงานที่ต่าง ๆ โหงวเฮ้ง แก้ม แก้มอิ่มเอิบ เต็ม ลากยาวไปถึงคาง แบบนั้นเรียกว่า “แก้มคุณหญิงคุณนาย” โหวงเฮ้งที่ดีสุด ๆ บทสรุป หญิงสาวโหงวเฮ้งดี หน้าผากใหญ่ ขมับกว้าง ตาเล็กเฉียงขึ้น แก้มใหญ่อวบอิ่ม ริมฝีปากใหญ่ โดยรวมดู ๆ แล้ว ไม่ได้สวยงามน่าพิศมัยแต่รวย! ซึ่งจะหาคนที่โหงวเฮ้งดีครบทุก ๆ อย่าง ก็เป็นเรื่องยาก ถ้าเราเกิดมามีโหงวเฮ้ง โครงหน้า รูปลักษณ์เช่นนี้ เมื่อไปทำศัลยกรรมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต แต่จะช่วยเสริมความมั่นใจเสียมากกว่า ดังนั้น ไม่ต้องกังวลมากไปแค่ทำความดี มุ่งมั่นทำสิ่งดี ๆ ดูแลรักษาสุขภาพให้ผิวพรรณผ่องใส และไม่ลืมที่จะบำรุงด้วยเซรั่มปรีดา เพื่อเพิ่มความกระจางใสของผิวหน้า ช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำจะช่วยเสริมให้โหงวเฮ้งดีขึ้น และต้องไม่ลืมที่ คิดดี ทำดี ก็จะช่วยให้ชีวิตเจอแต่เรื่องดี ๆ แน่นอน ที่มา : http://www.manager.co.th กระชับผิวหน้า สำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายที่หย่อนคล้อย ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาผิว และวิธีดูแลรักษา เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการหย่อนคล้อยของผิวก็เริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของผิวเราเริ่มเปลี่ยนไปจากภายใน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับผิวที่เรามองเห็นภายนอก สารที่ร่างกายผลิตตามธรรมชาติที่ช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์เริ่มลดจำนวนลง ริ้วรอยเริ่มเกิดขึ้นบนจุดสำคัญบนใบหน้า เมื่อโครงสร้างใต้ชั้นผิวเริ่มเสื่อมสาพลงเรื่อยๆ จะนำไปสู่การสูญเสียวอลุ่มและความหนาแน่นใต้ชั้นผิว ที่แย่ไปกว่านั้น บางคนอาจจะมีผิวที่แพ้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย สัญญาณ และ อาการบ่งบอก สังเกตผิวหย่อนคล้อยและแพ้ง่ายได้อย่างไร? ผิวหน้าที่แพ้ง่ายมักมีอาการที่สังเกตได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน ผิวหนังรู้สึกตึง หรือแม้กระทั่งผื่น เมื่อร่วมกับการหย่อนคล้อยตามธรรมชาติของผิว จึงนำไปสู่ปัญหาผิวที่ทำให้ผู้หญิงต้องกลุ้มใจ ชั้นผิวตามอายุ - ชั้นหนังกำพร้า เมื่ออายุมากขึ้น การผลัดเซลล์ผิวเริ่มช้าลงและร่างกายผลิตไขมันน้อยลงทำให้ผิวดูแห้งกร้านได้ นอกจากนั้นแล้วผิวยังเซนซิทิฟกับรังสียูวีมากเป็นพิเศษ ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ง่ายและเร็วเหมือนผิววัยหนุ่มสาว แพ้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม - ชั้นหนังแท้ มีองค์ประกอบหลัก คือ คอลลาเจน และ Elastic Fiber ที่ให้ความยืดหยุ่นกับผิว แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงประมาณปีละ 1% ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวมีคุณภาพลดลง ผิวจึงมีอาการหย่อนคล้อย ลักษณะของผิวที่หย่อนคล้อยและแพ้ง่ายเป็นอย่างไร? ปกติผิวหนังบนใบหน้านั้นอ่อนบางและเซนซิทิฟมากกว่าผิวหนังบริเวณอื่นๆ ในร่างกาย ฉะนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะระคายเคือยได้ง่ายจากปัจจัยภายนอก สัญญาณสำคัญของผิวหย่อนคล้อยที่แพ้ง่าย เช่น ผิวมีสีแดง ผิวแห้งสาก ริ้วรอยบนใบหน้า ผิวรู้สึกตึง ผิวเซนซิทิฟต่อปัจจัยภายนอกมากขึ้น สาเหตุ และปัจจัยกระตุ้น อะไรคือสาเหตุของผิวหย่อนคล้อยแพ้ง่าย? ผิวที่มีสุขภาพดีมีสารต่างๆ ในระดับที่พอเหมาะเพื่อทำให้เซลล์ผิวสามารถทำงานได้อย่างปกติ เมื่อผิวหนังปกติของเราเริ่มหย่อนคล้อย สารต่างๆ เริ่มลดจำนวนลงซึ่งทำให้ผิวแลดูเปลี่ยนไปและรู้สึกเปลี่ยนไป หนึ่งในสารเหล่านี้คือ ไฮยาลูรอน สารกระชับผิวที่พองตัวได้เหมือนฟองน้ำ ไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้น และพยุงผิวให้เรียบเนียน เมื่อร่างกายสามารถผลิตสาร ไฮยาลูรอน ได้น้อยลง จึงนำไปสู่ปัญหาของการที่เซลล์ผิวมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การที่ผิวหนังแพ้ง่ายมากขึ้นและมีริ้วรอยบางๆ เพิ่มขึ้นเนื่องจากผิวมีลักษณะแห้งกร้าน ปัจจัยอื่นๆ ปัจจัยอะไรอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผิวมีอายุที่แพ้ง่าย? นอกเหนือจากปัจจัยภายในที่เกิดขึ้นใต้ผิวแล้ว ปัจจัยภายนอกหลายอย่างก็ส่งผลทำให้เรามีผิวมีอายุที่แพ้ง่ายได้ Oxidative stress Oxidative Stress หรือ การที่เซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่เร่งการที่ผิวหนังดูสูงวัย oxidative stress เกิดขึ้นจากไลฟ์สไตล์และสารบางชนิดที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำร้ายโครงสร้างของเซลล์ผิว ทำให้ผิวอ่อนแอและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย และสูญเสียความหนาแน่นได้ (ความเครียด ทำให้เกิด oxidative stress) ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ที่อาจนำไปสู่การเกิดสารอนุมูลอิสระ เช่น แสงแดด การเจอรังสียูวีโดยขาดการปกป้องผิวอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสาเหตุหลักของผิวหนังที่แก่ก่อนวัยรังสียูวีทำให้คอลลาเจนแตกตัวเร็วขึ้น ผิวหนังสูญเสียโครงสร้างที่แข็งแรง นอกจากนั้นยังทำให้เกิดอาการไหม้แดด ซึ่งนำไปสู่การที่ผิวแพ้ง่ายด้วย บุหรี่ นิโคตินและสารพิษอื่นๆ ในบุหรี่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ผิวและทำให้ผิวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยแพ้ง่ายอย่างไรดี? นอกจากการหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด การสูบบุหรี่ และปัจจัยภายนอกในการใช้ชีวิตอย่างอื่น มีสารสกัดบางประเภทที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าสามารถช่วยลดเลือนสัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และแพ้ง่ายได้ -Carnosine brightening complex สาร Carnosine Brightening complex ช่วยให้ผิวกระจ่างใสอย่างอ่อนโยน และมีประสิทธิภาพ มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า หลังจากผ่านไป 1-2 สัปดาห์ โดยใช้ Carnosine Brightening Complex ทำให้สีผิวและผิวสว่างขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ และยังสามารถลดรอยดำจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ - Hyaluronic ไฮยาลูรอน สารกระชับผิวที่พองตัวได้เหมือนฟองน้ำ กรดไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้น และพยุงผิวให้เรียบเนียน กรดไฮยาลูรอนในผลิตภัณฑ์ Preda by nangrai มีขนาดโมเลกุลเล็กจึงสามารถแซกซึมลงสู่ชั้นผิวได้ลึกกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ผิวลึกล้ำจากภายในสู่ภายนอก -Jewelry Extract 6 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ แอเมทิสต์ (Amethyst) เป็นหนึ่งในนั้นมีคุณสมบัติที่ทําให้เกิดสมดุลสามารถทําให้เกิดประจุไฟฟ้าได้ ถ่ายทอดพลังจากธรรมชาติกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ส่งผลให้เกิดอัตรากระบวนการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น,การส่งผ่านสารต่างๆภายในชั้นผิวดีขึ้นผิวพรรณเปล่งปลั่งช่วยให้ผิวผ่อนคลายลดการตึงเครียดของผิวผิวที่แพ้ง่ายต้องการการดูแลเป็นพิเศษที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาและจะต้องไม่ทำให้ระคายเคืองผิว ผลิตภัณภัณฑ์เซรั่มของ Preda by nangrai ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถใช้ได้แม้แต่กับผิวแพ้ง่าย นอกจากนั้นสาร Carnosine Brightening complex ช่วยให้ผิวกระจ่างใสอย่างอ่อนโยน และมีประสิทธิภาพ มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า หลังจากผ่านไป 1-2 สัปดาห์ โดยใช้ Carnosine Brightening Complex ทำให้สีผิวและผิวสว่างขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ และยังสามารถลดรอยดำจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลผิวแพ้ง่ายอย่างไรดี? ผิวที่แพ้ง่ายต้องการการดูแลเป็นพิเศษที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาและจะต้องไม่ทำให้ระคายเคืองผิว ผลิตภัณภัณฑ์เซรั่มของ Preda by nangrai ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถใช้ได้แม้แต่กับผิวแพ้ง่าย นอกจากนั้นไฮยาลูรอน ยังมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ผิวลึกล้ำจากภายในสู่ภายนอกการช่วย ลดริ้วรอยและการหย่อนคล้อยของผิวได้ ผิวมีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปตาาช่วงวัย อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยมลภาวะแวดล้อมที่เราเผขิญด้วย จึงทำให้การบำรุงผิวหน้าของคุณผู้หญิงในแต่ละวัยมีการดูแลที่ต่างกัน เราเลยมีคำแนะนำในการบำรุงผิวหน้าทั้งหมด 4 ช่วงวัย เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้สาวๆ ได้มีทิศทางในการบำรุงผิวหน้าอย่างตรงจุดมากขึ้น
วัย 20 เน้นความชุ่มชื้น วัยเลข 2 เป็นช่วงวัยที่สาวๆ ควรใส่ใจบำรุง และเน้นป้องกันความเหี่ยวย่นตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงผิวบริเวณรอบคอด้วย สาวๆวัยนี้ไม่ควรลละเลยเรื่องการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน เน้นการระงับเม็ดสิวด้วยยาแต้มสิว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผวมของมอยเจอร์ไรเซอร์ ในวัยนี้ก็สามารถทำสครับผิวหน้าได้แล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ทุกๆ 2 อาทิตย์ ทั้งนี้เพื่อให้สภาพผิวมีความแข็งแรง มีความชุ่มชื้น มีการผลัดเซลล์ที่ปกติไม่มีเซลล์ผิวเก่าสะสม วัย 30 ใส่ใจเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำ วัยเลข 3 อาจมาพร้อมกับความกังวลหลายๆอย่าง จึงส่งผลทำให้ผิวหน้ามีปัญหาเรื่องริ้วรอย อีกทั้งบางคนที่ไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำก็มักจะมีปัญหาเรื่องฝ้า กระ และจุดด่างดำด้วย สำหรับสิ่งที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้นของผิวสาววัย 30 ที่มีปัญหาผิวมันก็คือ การสครับผิวหน้าบ้าง คือ ทำเดือนละครั้ง วัย 40 บำรุงผิวให้กระชับ สาววัยเลข 4 อาจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความเหี่ยวย่นบริเวณผิวรอบดวงตา และริมฝีปากบ้างแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพราะร่างกายผลตืฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ทำให้บริเวณผิวที่บอบบางเช่น ลำคอ รอบดวงตา หางตา ร่องแก้ม และริมฝีปาก มีความกระชับตึงน้อยลงจากเดิม ดังนั้นการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ ควรเพิ่มการบำรุงด้วยโปรตีนจำพวกคอลลาเจน วัย 50 บำรุงผิวให้กระชับ สาววัยเลข 5 นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวอย่างเห็นได้ชัด เพราะผิวที่มีความยืดหยุ่นน้อยลงแล้ว ยังมีความหย่อนคล้อยตามมาอีกด้วย เช่น ถุงใต้ตา ผิวบริเวณลำคอหย่อนคล้อย บางครั้งการบำรุงด้วยเซรั่มเข้มข้น โปรตีนคอลลาเจน หรือการทรีตเม้นท์บ่อยๆ ยังไม่ค่อยเห็นผล ทำให้สภาพผิวของสาววัยเลข 5 จึงเหมาะที่สุดกับการทำเลเซอร์คืนความอ่อนวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์ช่วยล็อกความชุ่มชื้นให้ผิว Cr : smartsme
6/24/2018
กลไกของความชรา (Mechanism of Aging)คุณเคยตั้งข้อสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเวลาผู้หญิงเข้าสู่วัยรุ่นแล้วจะเริ่มมีประจำเดือน? ทำไมเมื่อผู้หญิงย่างเข้าสู่อายุ 45 ปี ถึงเริ่มหมดประจำเดือน? ทำไมเด็กผู้ชายถึงเสียงแหบตอนย่างเข้าสู่วัยรุ่น? ทำไมตอนอายุเข้าวัย 50 ปี คนเราถึงเริ่มมีผมหงอก? ทำไม ... ? (อีกมาก) เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมนำมาเกริ่นนี้ เหมือนกับเป็นแบบแผนที่ถูกกำหนดขึ้นมาและมีผลกับคนทั่วไปทุกคน และเป็นสภาวะที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ — จริงมั้ยครับ? ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นผลที่เกิดจากการทำงานของกลไกของความชรา ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ มากมายภายในร่างกายที่ทำงานสอดรับและสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม ซึ่งกลไกเหล่านี้ยากที่จะทำการศึกษาเพียงเรื่องเดียว แล้วจะนำมาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดได้ จึงมีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงกลไกของความชรานี้ โดยอ้างถึงความสัมพันธ์ที่กระบวนต่างๆ ที่ทำงานเชื่อมโยงกัน ครับ... วันนี้ ผมจะขอเอาเรื่องนี้มาเรียบเรียงเป็นตอนๆ เพื่อให้ง่ายต่อสมาชิกทุกท่านในการทำความเข้าใจ เนื่องจากสมาชิกเบรที่ติดตามอ่านบทความมีอยู่กันเป็นจำนวนมาก และมีระดับการศึกษา รวมทั้งประสบการณ์ที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นผมจึงขอใช้ศัพท์และยกตัวอย่างที่ง่ายๆ บางทีอาจจะดูไม่เหมือนกับมืออาชีพ ก็ขอให้เข้าใจด้วยครับ หลังจากจบบทความนี้ทั้งหมดแล้ว ผมมั่นใจว่า พวกเราจะมีความเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีขึ้น แต่จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองได้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนครับ ... และก็แน่นอนครับ พวกเราไม่อาจจะหยุดยั้งความชรา – หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราได้ แต่พวกเราสามารถจะชะลอการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ครับ ... ผมขอยืนยัน! เริ่มเลยนะครับ... ปัจจุบันนี้ได้มีการแบ่งกลไกของความชราออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ด้วยกันดังนี้ - การสั่งสมความเสียหายในระดับเซลล์ที่เกิดขึ้นกระจายทั่วทั้งร่างกาย เรียกทับศัพท์ว่า Microaccidents - ความชราภาพที่ถูกโปรแกรมไว้ในระดับพันธุกรรม ซึ่งก็คือ นาฬิกาช่วงชีวิต เรียกทับศัพท์ว่า Aging clocks Microaccidents มีการสั่งสมความเสียหายในระดับเซลล์ที่เกิดขึ้นกระจายทั่วร่างกาย ซึ่งรวมไปถึงสภาวะที่ไปทำลายโครงสร้างสำคัญของร่างกาย (การทำลายนี้มองเห็นได้ เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์) ยกตัวอย่างเช่น อนุมูลอิสระ ของเสียที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ และเป็นตัวสำคัญในการทำลาย DNA และโปรตีน Mutagen เป็นสารเคมีที่มีผลต่อ DNA ทำให้รบกวนการทำงานของยีนได้ หรือ สารเคมีบางอย่าง เช่น อัลดีไฮด์ ทำให้เกิดผลเสียต่อส่วนประกอบภายในเซลล์ อื่นๆ ... ความเปลี่ยนแปลงพวกนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาในเซลล์ของเรา ส่วนใหญ่จะไม่มีผลเสียหายต่อร่างกายมากนัก เพราะตามธรรมชาติของร่างกายเราจะมีกระบวนการเข้าไปแก้ไข และก็อาจจะมีบางส่วนที่หลุดรอดมาได้ ซึ่งก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้ามีการสั่งสมความเสียหายเล็กๆ เหล่านี้รวมกันหลายวันเข้า ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ ได้ รวมไปถึงเมื่อพวกเรามีอายุมากขึ้น กระบวนการแก้ไขนี้อาจจะบกพร่องหรือมีประสิทธิภาพลดลง การเปลี่ยนแปลงพวกนี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียได้เช่นกัน Aging Clocks ในยุคเริ่มต้นที่มีการวิจัยเรื่องอายุ มีข้อถกเถียงกันมากว่า Aging clock มีจริงหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงพบว่า สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจะไม่มี aging clock พวกมันจึงสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้อย่างไม่จำกัด เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนว่า สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะมี aging clock มากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป สรุป เซลล์ส่วนใหญ่ในสิ่งมีชีวิตระดับสูง จะมีนาฬิกาช่วงชีวิต หมายความว่า เซลล์พวกนี้ถูกจำกัดจำนวนในการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณ เช่น เซลล์ผิวหนังกบ สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้เพียง 10 ครั้ง เป็นต้น – เรียกว่า Cellular clock เซลล์ส่วนใหญ่ในสิ่งมีชีวิตระดับสูง จะมีนาฬิกากลางอยู่ที่สมอง ซึ่งจะคอยติดตามการพัฒนาการและช่วงอายุของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ – เรียกว่า Central clock Biological clock – นาฬิกาตัวนี้จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในแต่ละคน แต่ละเผ่าพันธุ์ชีวิต ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมภายนอกจะมีผลต่อนาฬิกาให้เดินเร็วหรือช้าได้ ยกตัวอย่างเรื่องความเครียดจะไปเร่งให้นาฬิกานี้เดินเร็วขึ้น เป็นต้น Note: ตัวอย่างของ Aging clock ที่ชัดเจน คือ นาฬิกาที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิง ซึ่งจะเปิดใช้งานเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ผู้หญิงก็จะเริ่มมีประจำเดือน และเมื่ออายุประมาณ 45 ปี นาฬิกาที่ว่านี้ก็จะปิดการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ทำให้ผู้หญิงเข้าสู่วัยทอง เป็นต้น Cr : brecosmeticlab.com วิธีรักษาหลุมสิว ถ้าปัญหาสิวบนใบหน้าถือว่าเป็นปัญหาที่กวนใจด้านความสวยความงามที่สุดแล้ว แต่คนใดที่ต้องเผชิญกับปัญหา “หลุมสิว” อีกด้วย เชื่อว่ายิ่งทวีความเครียดและหมดความมั่นใจในตนเองนับร้อยเท่าเลยทีเดียว ซึ่งหลุมสิวนั้นมาได้อย่างไรและจะมีวิธีรักษาแบบใดบ้าง เรามีคำอธิบายและคำแนะนำดังต่อไปนี้ ระดับความรุนแรงของหลุมสิว หลุมสิว คือรอยแผลเป็นจากสิวอักเสบที่กินพื้นที่ลุกลามไปลงถึงผิวหนังชั้นใน จนทำให้เนื้อบริเวณนั้นหายเป็นหลุมเป็นบ่อ โดยมีระดับความรุนแรง 3 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับ Rolling scar (ระดับทั่วไป) หลุมสิวมีลักษณะตื้นๆ เป็นแอ่งเว้าลงไป อยู่บริเวณพื้นที่ส่วนบนของผิวหนังเล็กน้อย มักจะเกิดจากการบีบสิวอย่างผิดวิธีหรือแกะเกาจนเกิดรอยแผลเป็น หลุมสิวระดับนี้สามารถรักษาได้โดยง่ายด้วยการใช้ยาทา 2. ระดับ Box scar (ระดับรุนแรงปานกลาง) หลุมสิวมีลักษณะเป็นบ่อที่มีขอบหลุมชัดเจน และมีพื้นที่กว้างกว่าระดับ Ice pick scar แต่มีความตื้นมากกว่า เนื่องจากอยู่แค่เพียงความลึกระดับชั้นผิวเท่านั้น หลุมสิวระดับนี้สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาทาควบคู่ไปกับการทำทรีทเม้นท์ 3. ระดับ Ice pick scar (ระดับรุนแรงมากที่สุด) หลุมสิวมีลักษณะเป็นหลุมลึกที่มีปากแคบ ซึ่งรักษาได้ยากมาก เนื่องจากเป็นหลุมที่กินลึกลงไป ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นฟูผิวจนเต็มนานพอสมควร หลุมสิวระดับนี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้แค่เพียงยาทา แต่จะต้องทำเลเซอร์หรือศัลยกรรมจึงจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้น วิธีการรักษาหลุมสิว วิธีการรักษาหลุมสิว การรักษาหลุมสิวบนใบหน้าสามารถแบ่งตามแนวทางปฏิบัติหลักๆ ได้ 4 ประการ โดยส่วนใหญ่ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ หรือสถานเสริมความงามที่ได้รับการรับรองจากอย. และมีแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญให้บริการจริงๆ เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง 1. วิธีการรักษาหลุมสิว อย่างแรก การใช้ยา เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวที่มีรอยหลุมตื้นๆ 1.1 การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ เช่น AHA BHA และ PHA เป็นต้น ช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนหลุดลอกออก จนทำให้เกิดการฟื้นฟูซ่อมแซมผิวตนเอง หลุมสิวจึงดูตื้นขึ้น 1.2 การแต้มกรด TCA ช่วยเร่งเซลล์ผิวใหม่ให้เกิดการแบ่งตัวเร็วขึ้น จึงทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้เวลาในการรักษา 3 – 6 เดือน 1.3 การใช้กรดวิตามินเอและยาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 1.4 การทาครีมลบรอยแผลเป็น มักจะมีส่วนผสมของวิตามินอี AHA และ BHA สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เช่นกัน แต่มีความปลอดภัยสูงกว่าการใช้กรดวิตามินเอหรือยาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ 2. การศัลยกรรม วิธีนี้ต้องกระทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น 2.1 การผ่าตัดหลุมสิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวขนาดใหญ่ หลุมลึกและกว้าง ซึ่งรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่หาย 2.1.1 Punch excision เป็นการผ่าตัดหลุมสิวให้แยกออกแล้วเย็บแผลให้ติดกัน สำหรับหลุมสิวระดับ Box scar และ Ice pick scar 2.1.2 Punch elevation เป็นการผ่าตัดหลุมสิวโดยยกเนื้อบริเวณหลุมสิวให้ขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับผิวหนังทั่วไป แล้วเย็บให้เนื้อติดกับระดับนั้น สำหรับหลุมสิวระดับ Box scar 2.1.3 การรักษาหลุมสิว Punch grafting เป็นการนำเนื้อบริเวณที่อื่นมาปิดหลุมสิว จากนั้นทำการเย็บเพื่อให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตเพื่อปิดหลุมสิว สำหรับหลุมสิวที่มีความลึกไม่สม่ำเสมอระดับ Box scar และ Ice pick scar 2.1.4 Elliptical excision เป็นการผ่าตัดหรือกรีดหลุมสิวและเย็บแผลให้ติดกัน ซึ่งทำให้เกิดแผลเป็นขนาดเล็กๆ แต่ไม่น่ากังวลใจ หากกระทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น 2.2 การทำ Subcision เป็นการเลาะพังผืดใต้หลุมสิว โดยแพทย์จะทำการสอดเข็มลักษณะพิเศษลงไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำการตัดพังผืดใต้ผิวหนัง แล้วค่อยๆ เซาะทีละหลุมจนทั่วใบหน้า หลังจากหลุมสิวจึงจะตื้นขึ้น แต่วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไร เนื่องจากอาจจะมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ 2.3 รักษาหลุมสิวที่ไหนดี การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการรักษาหลุมสิวระดับตื้นจนถึงลึกปานกลางแบบชั่วคราว เพราะสารฟิลเลอร์ที่นำมาใช้สามารถเสื่อมสลายไปได้เอง โดยสารฟิลเลอร์ที่นิยมนำมาใช้ได้แก่ ไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) และก่อให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่าคอลลาเจน ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างเห็นผลชัดเจนถึง 30 – 70% 2.4 การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี หรือที่เรียกกันว่า Microdermabrasion (MD) ช่วยให้หลุมสิวตื้นๆ นั้นเต็มไวขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดรอยแผลเป็น แต่จะต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้งจึงจะเห็นผล 3. การทำเลเซอร์ มีหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่มีข้อควรระวังบางประการ ได้แก่ จะต้องกระทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และหลังจากทำแล้วควรงดการเผชิญกับแสงแดด เนื่องจากผิวหน้าจะไวต่อแสงมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้หน้าไหม้ได้ 3.1 วิธีการรักษาหลุมสิว ด้วยคลื่นวิทยุ เป็นการส่งพลังงานผ่านเข้าชั้นผิวหนัง เพื่อไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนังแล้วทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น โดยมีผลข้างเคียงน้อย แต่ราคาค่อนข้างสูงและควรจะต้องทำซ้ำ 4 – 5 ครั้ง 3.2 การทำ IPL เป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มข้นเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงทั่วไป (Rolling scar) 3.3 การทำเลเซอร์ Fractional CO2 เป็นเลเซอร์ที่ให้ผลลัพธ์ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวกว้างและลึกมากๆ แต่มีข้อเสียคือค่อนข้างรุนแรง ซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้นใบหน้านานเป็นเดือน ก่อนที่เซลล์ผิวจะค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเองและสร้างตัวขึ้นใหม่ตามธรรมชาติ 3.4 การทำเลเซอร์ Fraxel เป็นเลเซอร์ที่ให้ผลดีสมกับราคาที่ค่อนข้างสูง โดยใช้คลื่นแสงที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ซ่อมแซมตัวเอง จนทำให้หลุมสิวนั้นดูตื้นขึ้น แต่จะมีอาการเจ็บบ้างเล็กน้อย และต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด 3.5 การทำเลเซอร์หลุมสิว เป็นเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากเลยทีเดียว เนื่องจากได้ผลดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำ IPL แต่ขณะที่ทำจำเป็นต้องใช้ยาชาเพื่อลดความเจ็บปวด พร้อมกับการหลีกเลี่ยงเผชิญกับแสงแดด หากเราไม่อยากให้หลุมสิวมากวนใจบนใบหน้า เวลาที่เป็นสิวก็ไม่ควรแคะ แกะ หรือเกาสิว รวมถึงการขัดและนวดหน้า แต่ควรจะรักษาสิวให้หายอย่างค่อยเป็นค่อยไปเสียก่อน หลุมสิวก็จะไม่มาปรากฏบนใบหน้าของเราอย่างแน่นอ ประเภทของผิว ? ลักษณะของผิวหน้า มีกี่แบบ? แยกอย่างไร และจะดูแลอย่างไร? โอ๊ย! ! ! ! ! ! หลาย ๆ คนอาจมีคำถามว่าสภาพผิวของตนเองนั้นเป็นเช่นไร จะสังเกตได้อย่างไร และจะเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของตนอย่างไร วันนี้จะขอไขข้อสงสัยให้กับคุณเอง ไปดูกัน ! 1. ผิวธรรมดา (normal skin type) เป็นผิวที่ไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป คนที่มีผิวหน้าธรรมดา มักจะมีลักษณะที่สังเกตได้ง่าย ดังนี้ • มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผิวหน้าน้อย โดยเฉพาะเรื่องกระ ฝ้า หรือสิว • ผิวหน้ามักไม่แพ้อย่างรุนแรง ถ้าแพ้ก็แพ้แบบเล็กน้อย • รูขุมขนไม่กว้างมาก รูขุมขนที่มองเห็นได้ชัดเจนมีน้อย • เห็นได้ชัดเจนว่าผิวหน้ามีความกระจ่างใส 2. ผิวผสม (combination skin type) สำหรับใครที่มีผิวผสม ผิวหน้าของคุณอาจเป็นผิวธรรมดา บางบริเวณอาจเป็นผิวแห้ง หรือเป็นผิวมัน โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่าทีโซน (T-zone) ซึ่งรวมตั้งแต่ผิวหน้าบริเวณจมูก หน้าผาก และแก้ม ซึ่งลักษณะผิวในแต่ละบริเวณ ต่างก็ต้องการดูแลอย่างเฉพาะเจาะจง ใครที่มีผิวผสม มักจะสังเกตผิวตนเองได้ดังนี้ • รูขุมขนมักจะกว้างกว่าผิวธรรมดา และรูขุมขนมักจะเปิด • เนื่องจากรูขุมขนเปิด มักจะมีสิวอุดตันหัวดำ (blackhead) เกิดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณทีโซน • ผิวมักจะมีความมันเงา 3. ผิวแห้ง (dry skin type) ผิวแห้งมักจะแห้งกร้าน แตก ลอก หรืออาจอักเสบและคันได้ง่าย ในกรณีที่ผิวแห้งมาก ๆ ผิวหนังมักจะหลุดลอกออกเป็นแผ่น ๆ ซึ่งลักษณะผิวแบบนี้ เป็นลักษณะผิวที่บอบบางเป็นอย่างมาก จะรู้ได้อย่างไรว่าลักษณะผิวเป็นผิวแห้ง • มักมองไม่เห็นรูขุมขนเลย หรือเห็นได้น้อยมาก ๆ • ผิวไม่ค่อยกระจ่างใส แห้งกร้าน • มีผื่นแดง ๆ หรือรอยแดง ๆ ที่ผิว • ผิวมีความยืดหยุ่นน้อย • เห็นรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ได้อย่างชัดเจน ปัจจัยเสริมที่ทำให้ปัญหาที่เกิดจากผิวแห้ง ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น • สภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศเย็น แห้ง หรือมีลมพัดแรง • แสงแดด รังสียูวี • การอาบน้ำที่นานเกินไป โดยเฉพาะการอาบน้ำอุ่น • สบู่และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวแห้ง • ยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ จะดูแลผิวแห้งอย่างไร ให้สดใส ไม่แห้งกร้าน 1. ใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีความอ่อนโยน ไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินกว่าวันละ 2 ครั้ง 2. ไม่ควรขัดผิวบ่อย ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งกร้าน 3. ทุกครั้งหลังอาบน้ำ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื่น (moisturizer) ที่ออกแบบมาสำหรับผิวแห้ง 4. ในกรณีที่ผิวแห้งมาก อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่เป็นครีม (creams) มากกว่าผลิตภัณฑ์รูปแบบโลชั่น (lotions) เนื่องจากครีมจะมีความเป็นน้ำมัน และจะกักเก็บความชื้นให้ผิวได้มากกว่า 4. ผิวมัน (oily skin type) ผิวมันมักเกิดขึ้นในช่วยวัยรุ่น ช่วงที่ฮอร์โมนกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ความร้อน และความชื้นของสภาพอากาศ นอกจากนี้ความเครียดก็ส่งผลทำให้ผิวมีความมันส่วนเกินได้เช่นกัน ลักษณะของผิวมันที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน • รูขุมขนขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน • ผิวดูมันวาว จนบางครั้งอาจทำให้เกิดความหมองคล้ำ • ปัญหาสิวเป็นปัญหาเด่นของผิวมัน ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ การดูแลผิวมันให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดี 1. ผิวมันมักจะเกิดสิวได้ง่าย แต่ให้จำไว้ว่า การบีบสิวจะเป็นการกระตุ้น ทำให้สิวเกิดขึ้นมาอีก รวมถึงทำให้เกิดสิวอักเสบ และรอยด่างดำ 2. ไม่ควรล้างหน้าเกินกว่าวันละ 2 ครั้ง การล้างหน้าบ่อย จะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่น เป็นการกระตุ้นทำให้ต่อมไขมันสร้างน้ำมันออกมามากขึ้น 3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับคนผิวมัน 4. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (noncomedogenic) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดสิวอุดตันได้ 5. ผิวแพ้ง่าย (sensitive skin) นอกจากผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม และผิวธรรมดาแล้ว อีกหนึ่งลักษณะผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ คือ ผิวที่แพ้ง่าย (sensitive skin) ลักษณะของผิวแพ้ง่าย สามารถสังเกตได้ดังนี้ • ผิวมีการอักเสบได้ง่าย ลักษณะเด่นชัดของการอักเสบ คือ ผิวแดง คัน แสบร้อน รวมถึงแตกแห้ง • มักเกิดหลังจากการใช้เครื่องสำอาง หรือสิ่งที่มีการสัมผัสกับผิวโดยตรง ถ้าคุณรู้ว่าผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะแพ้ง่าย คุณควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นการแพ้ โดยเฉพาะสารและองค์ประกอบบางชนิดในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทีนี่คุณก็ได้ทราบแล้วว่า ลักษณะของผิวหน้า ตัวเองนั้นเป็นแบบไหน เอาวิธีการดูแลไปปรับใช้กันนะ แล้วอย่าลืมบำรุงด้วย Preda serum หลังทำความสะอาดหน้าทุกๆ เช้าและก่อนนอน เนื่องจาก Preda serum สามารถใช้ได้กับทุกๆลักษณะของผิวหน้า แม้ผิวคุณแพ้ง่ายก็ตาม เกิดเป็นผู้ชาย ใครว่าการดูแลผิวไม่สำคัญ หยุด! แล้วคิดใหม่เลย เพราะการดูแลผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นตัวหรือหน้า ไม่เพียงแต่จะทำให้หนุ่ม ๆ มีบุคลิกภาพดีเท่านั้น แต่เป็นการเสริมเสน่ห์ให้ถูกตาต้องใจสาว ๆ ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่เลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้วมาลองดูกันว่า สภาพผิวชายไทยอย่างเรา ควรเริ่มต้นบำรุงผิวหน้ากันอย่างไร? อยากหน้าหล่อใส แค่ปรับวิธีดูแล
เริ่มต้นดูแลผิวหน้าของคุณด้วย Preda Serum ที่ช่วยบำรุงผิว ให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดจุดด่างดำและรอยคล้ำจากสิว เท่านี้ก็พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ในแต่ละวันแล้ว! อยากดูดี มีเสน่ห์ ก็รีบๆไปหา Preda Serum มาใช้ซะ!!!! เอาให้สาวๆเห็นแล้วถึงกับตะลึงกันไปเลย!!! สาวๆ ยังไม่เคยรู้กันซินะ ว่า 3 สิ่งนี้จะช่วยลดจุดด่างดำ Babyassme จะไปดูกันนะว่าเจ้า 3 สิ่งนี้มีอะไรกันบ้าง 1. ขมิ้น คุณสมบัติล้ำเลิศของขมิ้นคือช่วยต้านการอักเสบของผิวอย่างมีประสิทธิภาพมาก เคล็ดลับคือนำขมิ้นมาพอกหน้า 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ มันจะช่วยปรับสีผิวให้ดีขึ้น ซึ่งจุดด่างดำก็จะค่อยๆ หายไป 2. มันฝรั่งสด มันฝรั่งสดมีวิตามินบีที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว วิตามินบี3 (Nicotinamide) ช่วยทำให้ผิวขาว และมันฝรั่งยังกำจัดความหมองคล้ำรอบดวงตาได้ด้วย หั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นกลมและนำมาถูบริเวณผิวที่มีปัญหาประมาณ 10 นาที ทำวันละสองสามครั้งให้เป็นประจำสม่ำเสมอ แต่ถ้าใครมีผิวแห้งแนะนำให้แช่มันฝรั่งในน้ำก่อนทำค่ะ 3. น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากมาย ประโยชน์คือช่วยฟื้นฟูและทำความสะอาดผิวได้อย่างดี แค่นำสำลีหรือคอตตอนบัตจุ่มน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ แล้วเช็ดผิวบริเวณที่มีปัญหา วันละ 2-3 ครั้ง ก็ช่วยลดจุดด่างดำได้ค่ะ หลังจากได้ลองใช้ 3 สิ่งแล้ว อย่าลืมใช้ Preda serumทาหลังล้างหน้า เช้าและก่อนนอน เพราะด้วยอณุภาคของ Hyaluronic และ Jewelry Extract ซึ่งรวมสารสกัดจากอัญมณีมากมายถึง 6 ชนิด จึงทำให้รู้สึกถึงผิวที่เนียนนุ่มทันทีที่ทา และช่วยให้ผิวหน้าดูสว่างใสยิ่งขึ้น เครียดหนักมาก! พรุ่งนี้มีเดทสำคัญแต่หน้าหมองคล้ำสุดๆ ใครเจอปัญหาเหมือนเราส่องด่วน 4 วิธีแก้หน้าหมองให้ใสขึ้นชั่วข้ามคืน เด็ดจริงขอบอก! เรื่องของความรักถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของสาว ๆ หลาย ๆ คนเลยใช่มั้ย มีความรักก็ต้องมีแฟน มีแฟนก็ต้องมีเดท แค่คิดก็แฮปปี้ลัลล้าลันลั๊นลาแล้ว สาวๆอย่างเราก็จะเตรียมตัวไปหาเสื้อผ้าสวย ๆ acessories ดี ๆ หาเครื่องสำอางมาแต่งหน้าโดน ๆ แต่พอเช็คสภาพหน้าก็ต้องชะงัก เห้ย! ทำไมหน้าเราโทรมหมองคล้ำดำขนาดนี้ แบบนี้แฟนจะคิดว่าเราไปเล่นของมามั้ยเนี่ย!! โอ้ย เศร้ามาก ใครก็ได้ช่วยเราที ไม่ต้องโวยวายไปนะสาว ๆ ปัญหานี้มีทางออก เพราะวันนี้ Babyassme เตรียมเคล็ดลับดี ๆ อย่าง 4 วิธีแก้หน้าหมองให้ใสขึ้นชั่วข้ามคืน มาให้สาว ๆ ไปฟื้นฟูใบหน้าให้สวยพร้อมเดท หน้าใสจนแฟนรักแฟนหลงแน่นอน ไปกันเลยนะ วิธีที่ 1 สครับหน้า มาถึงสเต็ปแรกที่สาว ๆ จะต้องปฏิบัติเพื่อผิวหน้าอันผ่องใสนั้นก็คือ การสครับผิวหน้านั่นเอง เพราะจะบอกให้ว่าบางทีเราอาจจะล้างหน้าไม่สะอาดพอทำให้สารเคมีจากเครื่องสำอางหลงเหลืออยู่บนใบหน้าก็ได้นะ เพราะฉะนั้นการสครับหน้าจึงสำคัญมากๆ มันจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วและความหมองคล้ำจากมลภาวะที่เราได้ไปเจอมาอันตราธานหายไป ผิวหน้าก็จะเผยผิวหนังชั้นใหม่ออกมาแทนที่ ทำให้หน้าของสาว ๆ ขาวกระจ่างใส ไร้สิว เจอผู้ชายยังไงก็ไม่โป๊ะ อิอิ แต่เตือนไว้เลยนะ ว่าห้ามสครับผิวแรงเกินไปโดยเด็ดขาด! ไม่งั้นหน้าถลอก หน้าแดงไปเจอหนุ่มไม่รู้ด้วยนะ! วิธีที่ 2 มาอบไอน้ำให้ผิวกัน สเต็ปที่สองหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเรามาทำการอบไอน้ำให้ผิวกันนะ อ่ะๆ สงสัยละสิว่าทำยังไง? มันง่ายมาก ๆ สาว ๆ แค่ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ๆ แช่น้ำอุ่นแล้วนำไปบิดให้หมาด เสร็จแล้วก็นำมาประคบลงไปบนผิวหน้าทิ้งไว้สักพักเป็นอันเสร็จ เห็นอ่ะป่ะ ง่ายอะไรจะปาณนี้ ซึ่งวิธีการอบไอน้ำให้ผิวแบบนี้จะเป็นการเปิดรูขุมขนบนใบหน้าและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี แค่นี้สาว ๆ ก็จะมีใบหน้าที่อิ่ม ฟู เด้งดึ๋งดั๋งแล้วจ้า วิธีที่ 3 Preda serum กู้หน้าหมอง สเต็ปที่สามนี่ถือเป็นสเต็ปที่สำคัญที่สุด!! ที่สาว ๆ ห้ามลืมปฏิบัติเด็ดขาดก็คือ บำรุงผิวหน้าด้วย Preda serum นั่นเอง ซึ่ง Preda serum ที่เราจะขอ Recommend!! แบบสุด ๆ เพราะใช้เองแล้วเห็นผลจริงอะไรจริงก็คือ Preda serum สินค้าโปรดของเราเอง คือเจ้าตัวนี้แหละที่ช่วยกู้หน้าโทรม ๆ หมอง ๆ ของเราให้กลับมาขาวใสโดดเด้งพร้อมไปเดทกับแฟน เพราะบำรุงผิวหน้าด้วย Preda serum เค้ามีส่วนผสมของด้วยอณุภาคของ Hyaluronic และ Jewelry Extract และสารสกัดจากอัญมณีมากมายถึง 6 ชนิด ในหลอดเดียว! แน่นอนว่ามีแต่ส่วนผสมดี ๆ Preda serum ก็เลยให้ผลลัพท์ออกมาดีเว่อร์ เรามาดูกันว่าสรรพคุณเค้ามีอะไรบ้าง ✰ ช่วยแก้ปัญหาหน้าหมองจากการโดนแดด โดนแสงหน้าคอม ✰ ช่วยฟื้นฟูผิวที่เหนื่อยล้าจากการนอนน้อย พักผ่อนไม่พอให้กลับมาสดใส ผิวดีขึ้น ✰ ช่วยลดรอยสิว ฝ้ากระ จุดด่างดำ แก้ปัญหารูขุมขนกว้างได้ด้วย ✰ เนื้อเจลเข้มข้นแต่บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ ✰ ซึมลึกเข้าแก้ปัญหามากกว่าเซรั่มทั่วไป ✰ 95 % ของคนที่เคยได้ลองใช้พบว่าผิวหน้าที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ✰ เป็น Preda serum ที่ช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา เพราะก่อนนอนใช้เพียงแค่ Preda serum ตัวนี้เพียงตัวเดียวก็น่าเอาอยู่ ไม่ต้องง้อสกินแคร์ตัวอื่นเลย บอกแล้ว ความดีงามที่สุดในสามโลกมารวมอยู่ใน Preda serum หลอดนี้หลอดเดียว แล้วคือจะบอกว่าใช้ง่ายมาก ๆ เลยนะ เพียงแค่ใช้หลังล้างหน้าก่อนจะเข้านอนหรือคืนก่อนจะไปเดทก็จัดโลด! ทาให้ทั่วใบหน้า เพียงแค่ 1-2 นาทีจะรู้สึกได้เลยว่าซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็นอนได้เลยย ง่ายสุดๆอะไรขนาดนี้ สาวสายขี้เกียจแต่อยากสวย อยากใส อยากผิวดีอย่างเราจะไม่รักได้ไงล้า วิธีที่ 4 ดื่มน้ำก่อนนอนเยอะ ๆ มาถึงสเต็ปสุดท้ายกันแล้ว เป็นสเต็ปที่ทำไม่ยากแต่ผลลัพท์ดีเกินคาดเลยนะ นั่นก็คือ การดื่มน้ำก่อนนอนเยอะ ๆ นั่นเองค่ะ ซึ่งเหตุผลที่สาว ๆ ควรปฏิบัติก็เพราะว่าการดื่มน้ำก่อนนอนจะช่วยให้ผิวหน้าดูสุขภาพดี เปล่งปลั่งจนสังเกตได้ แถมพอจับปุ๊ปนะจะรู้สึกเลยแหละว่าหน้านุ่มชุ่มชื้นขึ้น หมดปัญหาเรื่องแต่งหน้าไม่ติดทนเลยนะ แค่ 4 วิธีง่าย ๆ แค่นี้ ก็หมดปัญหากังวลใจหน้าหมองคล้ำดำโทรมก่อนไปเดทแล้วหล่ะ อย่าลืมเอาไปทำตามกันน้า โดยเฉพาะวิธีเด็ด ๆ ที่สาว ๆ ห้ามลืมทำโดยเด็ดขาด!! อย่างลืมใช้ Preda serum ทาหน้าก่อนนอนด้วย แค่หลอดเดียวก็รับรองได้ว่าตื่นมาหน้าสวย ใสพร้อมไปเจอแฟนแล้ว ไลฟ์สไตล์ลุยๆ กับมลพิษที่มากขึ้น ทำให้ยุคนี้ผู้ชายอย่างเราก็ต้องดูแลตัวเองกันมากขึ้นเช่นกันนะ จะมาล้างหน้าด้วยสบู่ล้างหน้าหรือโฟมอย่างเดียวนั้นคงไม่พอ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวผู้ชายก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว ถ้าคุณสามารถดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว และไม่กังวลเกี่ยวกับผิวหน้าของตัวเองมากนัก เซรั่มก็อาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นขนาดนั้น… แต่…!! อย่าลืมว่าไลฟ์สไตล์หนักๆ ลุยๆ ของเรามันไม่ช่วยให้ดูแลผิวได้ง่ายๆ เลยน่ะสิครับ ไหนจะนอนดึก ตื่นสาย อดอาหารเช้า ออกกำลังกาย แถม...เย็นๆ มีสังสรรค์กับเพื่อนอีก กิจกรรมเหล่านั้น ล้วน..ทำร้ายผิวทั้งนั้น นอกจากนี้ด้วยเหตุที่ผู้ชายมีโครงสร้างผิวที่แข็งแรงกว่าผู้หญิง ทำให้ผู้ชายอย่างเรายิ่งชะล่าใจเข้าไปอีก… แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วผิวผู้ชายหนากว่าผิวผู้หญิงถึง 20% และมีปริมาณคอลลาเจนมากกว่า แต่ถึงเวลาผิวหน้าจะเสียเนี่ย ก็รวดเร็วและรุนแรงกว่าผู้หญิงซะอีก ในแง่นี้ การใช้เซรั่มก็เป็นวิธีดูแลผิวหน้าผู้ชายที่น่าสนใจทีเดียว เพราะถ้าดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะดีต่อผิวในระยะยาว ดีกว่าปล่อยให้ผิวหน้ามีริ้วรอย คล้ำเสียจนสายเกินแก้นะ รู้จักประสิทธิภาพและข้อดีของเซรั่มแล้ว อย่าลืมดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอด้วย Preda serum เซรั่มที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ลุยๆ ของผู้ชาย จัดเต็มด้วยพลังที่ช่วยให้ผิวคล้ำเสียดูกระจ่างใส เพิ่มความมั่นใจพร้อมลุยต่อได้อีกเยอะ!
4/15/2018
5 วิธีใช้เซรั่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด Serums (เซรั่ม) คือสารสกัดเข้มข้นที่คิดค้นขึ้นเพื่อให้เข้าสู่ผิวในแบบที่มอยซเจอไรเซ่อร์ที่เราใช้ทุกวันทำไม่ได้ และราคาของมันก็มักจะสูงขึ้นตามประสิทธิภาพจริง สำหรับบางท่านผลิตภัณฑ์แสนแพงเหล่านี้คุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน ซึ่งช่วยในเรื่องต่างๆ ได้ เช่นลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับ เร่งการผลัดผิว เร่งขาว และปรับสีผิว อย่างไรก็ตาม มันจะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพหากเราใช้มันไม่ถูกวิธี วันนี้ทางเว็ปของเรามี 5 วิธีใช้ มาให้ศึกษากัน ไปดูกันเลย ทำตาม 5 วิธีต่อไปนี้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจากเซรั่มนะ 1. ทำความสะอาดให้หมดจดเสียก่อน สารสกัดออกฤทธิ์ในเซรั่มจะเกาะติดกับฝุ่นและเซลผิวที่ตายแล้วได้ง่าย ดังนั้นเพื่อให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุด ควรแน่ใจว่าทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเหมาะสมก่อนใช้ ใช้น้ำอุ่น-ร้อนจะช่วยขยายรูขุมขน ทำให้เซรั่มซึมสู่ผิวได้ดีกว่าใช้น้ำเย็นซึ่งจะทำให้รูขุมขนปิด 2. ทาเซรั่มบนผิวที่ชื้น กล่าวกันว่าผิวที่ชื้นจะช่วยให้ซึมผ่านได้ดีกว่าผิวแห้งๆ ถึง 10 เท่า ดังนั้นทาเซรั่มลงบนผิวที่ชื้นหลังการทำความสะอาด หรือหลังการใช้โทนเน่อร์แบบปราศจากแอลกอฮอล์ คลึงเซรั่มลงบนผิวหน้าด้วยฝ่ามือ ไม่ใช่ด้วยปลายนิ้ว 3. น้อยๆ ก็เพียงพอ เซรั่มมีความเข้มข้นสูงมาก เพื่อให้คุ้มค่าทุกหยด แค่ไม่กี่หยดหรือกะดูไม่เกินเม็ดถั่ว มากกว่านั้นเป็นการสิ้นเปลืองอย่างไม่จำเป็น 4. รอสักครู่ก่อนลงมอยซเจอไรเซ่อร์ เซรั่มไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นผิว เรายังต้องใช้ตัวอื่นเช่นครีมกลางคืนหรือกลางวันควบคู่ไปด้วยหลังจากลงเซรั่ม เพื่อให้เซรั่มซึมซาบลงเต็มที่ ควรรอสัก 5 นาทีก่อนลงครีมอื่นๆ [จุดสังเกต]: เซรั่มดีๆ จะซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนผิว ถ้าปรากฏว่ามีน้ำมันหรือความเหนียวตกค้างอยู่ แสดงว่าเซรั่มนั้นๆ ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก 5. หลีกเลี่ยงพวกที่สีสันสวยงามหรือกลิ่นหอมๆ เวลาเลือกซื้อเซรั่มอย่ายึดติดกับสีสวยๆ และกลิ่นที่หอม เซรั่มเยี่ยมๆ บางตัวจะไม่มีสีสัน และมีกลิ่นกลางๆ ไม่หอม แต่เต็มไปด้วยสารสกัดคุณภาพเลิศหรูในการซ่อมแซมและคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว สีหรือกลิ่นมิได้มีส่วนช่วยใดๆ เลย และอาจจะทำให้ซึมซาบได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อรู้วิธีการใช้แล้ว ก็อย่าลืมหามาใช้กันนะ ทางเว็ป ขอแนะนำ Preda serum เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งราคาคุ้มค่ากับประสิทธิภาพ ท่านสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ที่หน้าเว๊ปเราตอนนี้ CR: RENEE LOUX ทุก ๆ คน คงมีความสงสัยว่าระหว่างครีมและเซรั่ม ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วเราควรเลือกใช้ประเภทไหนถึงจะเหมาะกับผิวเรา วันนี้ Babyassme Page จะมาไขข้อข้องใจที่ว่า Cream กับ Serum ต่างกันอย่างไร ? และควรใช้อะไรก่อนหลัง ! ครีม (Cream ) คือ การผสมน้ำมันให้เข้ากับน้ำ โดยจะมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว จะสังเกตได้ว่าเวลาทาครีมและจะรู้สึกเหนียว และจะดูดซึมเข้าสู่ผิวช้า เนื่องจาก ครีมมีคุณสมบัติในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวชั่นในได้ ดังนั้น ครีมจะเห็นผลช้ากว่าเซรั่ม ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ผิวปกติและแห้ง ไม่ค่อยเหมาะกับคนผิวมัน เซรั่ม (Serum) มีลักษณะของโมเลกุลขนาดเล็ก อุดมไปด้วยสารอาหารที่เข้มข้นกว่าครีม และมีความบางเบามากกว่าครีม จึงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและรวดเร็ว ซึมได้ถึงระดับโครงสร้างผิวเลยทีเดียว รวมทั้งยังมี Active Ingredients สูงกว่าครีม ดังนั้นจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการใช้ครีม คุณสมบัติของเซรั่มกับครีมที่ต่างกัน !!! • เซรั่มสามารถบำรุงเข้มข้นกว่าครีม จึงทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วกว่าครีม • เซรั่มมีเนื้อบางเบาซึมได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับครีมที่จะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ • เซรั่มซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นในเพื่อแก้ไขปัญญาผิวจากด้านใน ในขณะที่ครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแต่ได้แค่ผิวชั้นนอก • เซรั่มไม่สามารถให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้เท่ากับครีม เมื่อรู้แบบนี้แล้ว การใช้ครีมโดยที่ไม่มีลำดับก่อนหลัง มันจะลดประสิทธิภาพของการบำรุงผิวเรา เช่น จากที่ครีมบำรุงตัวหนึ่งที่ให้ผล 100% แต่คุณใช้ผิดขั้นตอน มันอาจจะทำงานได้แค่ 50% เพราะอีกตัวอาจไปขัดขวางการดูดซึม Active Ingredient ของครีมอีกตัวหนึ่งนั่นเอง เหตุผลง่ายๆที่ทำให้เราต้องมีลำดับของการใช้ครีมบำรุงผิว เลือกใช้ให้ถูก จะได้มีผิวใสๆกว่าใครๆนะ
4/14/2018
เนรมิตใบหน้าอ่อนกว่าวัยภาย ใน 9 วัน!คุณอยากรู้ความลับที่เสกให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัย ภายในเวลาเพียง 9 วันหรือเปล่า..!? ถ้าหากมีวิธีง่ายๆที่จะช่วยเนรมิตรเปลี่ยนใบหน้าอ่อนกว่าวัยได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนั้นจริงๆ แน่นอนว่าทุกคนคงอยากที่จะรู้เคล็ดลับดั่งกล่าวซึ่งบทคามชิ้นนี้กำลังจะกระซิบบอกกับคุณว่า มันมีวิธีช่วยทำให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัยได้จริง แถมยังง่ายเสียจนไม่น่าเชื่อเลยอีกต่างหาก เคล็ดลับเนรมิตใบหน้าอ่อนกว่าวัยใน 9 วัน เมื่อคุณมองกระจก และพบว่าใบหน้าเริ่มเกิดริ้วรอย รอยแห้งกร้าน และรอยตีนกา ความตึงเครียดย่อมเริ่มปรากฏขึ้นในจิตใจของคุณอย่างแน่นอน ซึ่งความเครียดดั่งกล่าวยิ่งเป็นตัวกระตุ้นด้านลบ ที่ส่งผลให้ผิวของคุณดูแก่มากขึ้นอีก 3-6 ปี เลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุณสามารถชะลอ หรือกำจัดความเครียดออกไปได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็จะตรงกันข้าม คุณสามารถที่จะย้อนอายุผิวให้กลับไปดูอ่อนเยาว์ได้มากขึ้น ถึง 3-6 ปี ได้เช่นเดียวกัน แล้วยิ่งคุณสามารถใช้ชีวิตตามแผน 9 วัน เพื่อให้สามารถบรรลุถึงการมีใบหน้าอ่อนกว่าวัยได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่อาจจะมีหลายคนสงสัยว่า ทำไมถึงต้องกำหนดเวลาเอาไว้ที่ 9 วัน นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อคนเราได้ทำการพักผ่อนจากการเรียน การทำงาน และความเครียด ด้วยวันหยุดยาวเป็นเวลา 9 วัน เมื่อส่องกระจกอีกครั้ง จะพบว่าผิวของตัวเองดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เอาล่ะ.. สำหรับใครที่พร้อมแล้วกับแผนการ 9 วัน เพื่อให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัยมากยิ่งขึ้น สามารถเริ่มแผนการชีวิต 9 วัน ตามคำแนะนำต่อไปนี้ได้เลย แต่ขอแนะนำให้วันแรกที่เริ่มทำตามแผนการเป็นวันเสาร์ เพื่อให้การพักผ่อนผิวของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด วันที่1 : ลดความซับซ้อน เริ่มต้นจากการสร้างนิสัยการดูแลผิวหน้าเป็นประจำทุกวัน แต่ใช่ว่าการทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดจะดีต่อผิวของคุณเสมอไป คุณควรรู้จักการทำความสาดพื้นฐานด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน บำรุงผิวด้วยครีมกันแดดในตอนกลางวัน และครีมบำรุงผิวในตอนกลางคืน พร้อมกับเริ่มต้นสร้างตารางการนอนหลับให้เป็นปกติ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนหลับเป็นเพียงสิ่งหนูหราฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น แต่ที่จริงแล้วถ้าหากต้องการให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัย คุณจำเป็นต้องนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ทำการรักษาและฟื้นฟูเซลล์ทั่วร่างกาย วันที่ 2 : ผ่อนคลาย คูณสามารถผ่อนคลายตัวเองด้วยการพบปะสังสรค์กับเพื่อนๆที่ทำให้คุณรู้สึกสนุก จองบริการนวด หรือแม้แต่การพักดิ่มกาแฟอย่างเรียบง่ายในตอนบ่ายรวมถึงเริ่มต้นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆเพื่อให้ช่วยลดฮอร์โมนวามเครียดให้น้อยลง วันที่ 3 : สู่เส้นทางสีเขียว ผ่อนคลายตัวเองด้วยการไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ เดินเร็ว 20 นาที ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า หรือยามเย็น เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงด้วยวิตามิน D และดื่มชาเขียว ที่มีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ วันที่ 4 : การกินที่สะอาดหมดจด เลือกอาหารที่มีสารอาหารสูง คาร์โบไฮเดรต กรดไขมัน และปริมาณน้ำตาลน้อย ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวเรียบ วันที่ 5 : โยกย้ายส่ายสะโพก จัดตารางให้ตัวคุณมีโอกาสโยกย้ายส่ายสะโพกออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที หรือทำกิจกรรมอื่นๆที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับลดช่วงเวลาในการนั่งแช่ตัวทำงานอยู่ที่โต๊ะนานๆ วันที่ 6 : เข้าสังคม วางแผนการรับประทานอาหารค่ำร่วมกับเพื่อน หรือครอบครัว เพื่อแบ่งปันช่วงเวลาที่ดี และหัวเราะพร้อมกัน วันที่ 7 : ต่อสู้กับความเครียด เรียนรู้ที่จะนั่งสมาธิ ที่จะช่วยให้คุณสามารถต่อสู้กับความเครียด และยังช่วยทำให้สมองของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น วันที่ 8 : นอนหลับให้มากขึ้น การนอนหลับที่เพียงพอ จะช่วยทำให้ร่างกายลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และซ่อมแซมเซลล์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการเพิ่มความสุขในชีวิต เพื่อสร้างเสริมความแข็งแกร่งในร่างกายของตัวเอง วันที่ 9 : หยุดชั่วคราว ใช้เวลาสักครู่ที่จะพักผ่อน และรู้จักกันให้รางวัลกับตัวเอง พร้อมกับพิจราณาวิธีการต่างๆ ที่จะสามารถนำมาใช้พัฒนาชีวิตประจำวันของคุณให้ดีมากยิ่งขึ้น สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นและต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำ Preda Serum เป็นอีกทางเลือกสำหรับคุณ แนะนำให้ดูคลิปด้านล่างนี้เป็นเสียงจากผู้ใช้จริง วิธีทำให้หน้าใส สำหรับคุณผู้หญิงใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ การทานอาหารที่ถูกลักษณะ และสามารถช่วยให้คุณนั้นดูเด็กลง จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงชื่นชอบ งั้นเราไปทานอาหารที่ทำให้หน้าใสอ่อนเยาว์กันดีกว่าค่ะ วิธีทำให้หน้าใส ผู้หญิงทุกคนนั้นต้องการให้ตัวเองมีใบหน้าที่สวยใส อ่อนเยาว์ วิธีทำให้หน้าใส และอ่อนเยาว์นั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ ครีมหน้าใส แค่คุณผู้หญิงเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณก็สามารถช่วยให้คุณนั้นดูเด็กได้แล้วล่ะค่ะ แล้วอาหารที่เรากำลังพูดถึงกันนั้นมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ 1.หยุดผมร่วง รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทาน กล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน 2.ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน 3.หยุดการลอกของผิวหนัง รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้ 4.ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก มะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน 5.ชะลอผมหงอก รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร ถั่วลิสงมี วิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย 6.ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี รับประทานฝรั่งหรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซีเพราะจะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้งร่วมกับผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน ครีมหน้าใส 7.ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยและร่างกายเกิดความ ต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ วิธีทำให้หน้าใสที่เรานำมาบอกจะช่วยให้ผู้หญิงแบบเรานั้นดูอ่อนกว่าวัยได้มากเลยล่ะค่ะ ยังไงซะคุณผู้หญิงก็นำไปลองทำกันดูน่ะค่ะ ที่มา..108health.com |